วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Salalanka

Salalanka …A Thai plant significant the history of Buddhism

Salalanga, known commonly as Cannon Ball Tree, was believed to be the plant beneath which Buddha was born. The plant was originally found in Srilanka and India.

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Rose








A rose is a flowering shrub of the genus Rosa, and the flower of this shrub. There are more than a hundred species of wild roses, all from the northern hemisphere and mostly from temperate regions. The species form a group of generally prickly shrubs or climbers, and sometimes trailing plants, reaching 2–5 metres tall, occasionally reaching as high as 20 metres by climbing over other plants.
The name originates from
Latin rosa, borrowed through Oscan from colonial Greek in southern Italy: rhodon (Aeolic form: wrodon), from Aramaic wurrdā, from Assyrian wurtinnu, from Old Iranian *warda (cf. Armenian vard, Avestan warda, Sogdian ward, Parthian wâr).
Rose hips are sometimes eaten, mainly for their vitamin C content. They are usually pressed and filtered to make rose hip syrup, as the fine hairs surrounding the seeds are unpleasant to eat (resembling itching powder). They can also be used to make herbal tea, jam, jelly and marmalade. A rose that has aged or gone rotten may not be particularly fragrant, but the rose's basic chemistry prevents it from producing a pungent odor of any kind. Notably, when balled and mashed together the fragrance of the rose is enhanced. The fragrance of particularly large balls of mashed roses is enhanced even further. Rose hips are also used to produce an oil used in skin products. Rose shrubs are often used by homeowners and landscape architects for home security purposes. The sharp thorns of many rose species deter unauthorized persons from entering private properties, and may prevent break-ins if planted under windows and near drainpipes. The aesthetic characteristics of rose shrubs, in conjunction with their home security qualities, makes them a considerable alternative to artificial fences and walls

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Gomme à effacer



Dans le domaine du dessin et de l'écriture, la gomme est un objet mou, en caoutchouc ou en matière plastique, qui sert à effacer les traits faits par l’encre ou le crayon mine



Historique


Jusqu’au XVIIe siècle les traits sont effacés en grattant le support avec une lame. Toutefois, vers 1400, un certain Chennini, dans un livre destiné aux peintres, recommande d’effacer les traits de mine de plomb ou de fusain avec de la mie de pain.La découverte du latex en Amazonie (tiré de la sève de l’Hévéa) amène les savants européens à chercher des applications pour cette matière souple et élastique. Dans une communication à l’Académie des Sciences de 1751, Charles Marie de la Condamine, découvreur du latex encourage ses auditeurs à en « étudier les propriétés et rechercher le parti que l’on pourrait en tirer ». La première application, et curieusement pendant près de cinquante ans la seule, sera celle d’effacer les traits de crayon mine. En 1770, un scientifique britannique Joseph Priestley note « j’ai vu une substance parfaitement adaptée à l’effacement des marques de crayon de graphite sur le papier ». Cette utilisation d’effacer en frottant (to rub) donnera son nom anglais au caoutchouc « rubber ». En 1770 les premières gommes en latex sont vendues en Angleterre par Edward Naime au prix très élevé de trois shillings le petit cube d’un demi-pouce. Ces gommes à effacer devenaient noires et étaient vendues sous le nom de « peau de nègre ».La latex est une matière végétale naturelle, il brunit et durcit à l’air puis se dégrade et pourrit comme tout produit alimentaire. L’utilisation de ces premières gommes était peu pratique. La découverte de la vulcanisation par Charles Goodyear en 1839 modifia complètement l’usage du latex qui devient le caoutchouc imputrescible, résistant au froid et à la chaleur, non collant, etc. En devenant plus pratique, la gomme à effacer se démocratise à partir de la moitié du XIXe siècle. Le premier brevet de gomme emmanchée à l’extrémité d’un crayon est déposé en 1878 aux USA.



In the field of the drawing and writing, the gum is a soft object, out of rubber or out of plastic, which is used to erase the features made by ink or the pencil mines.


History


Until the XVIIe century the features are unobtrusive by scraping the support with a blade. However, about 1400, certain Chennini, in a book intended for the painters, recommends to erase the features of charcoal or black lead with bread crumb. The discovery of latex in Amazonia (drawn from the sap of Hévéa) leads the European scientists to seek applications for this flexible and elastic matter. In a communication with the Academy of Science of 1751, Charles Marie of Condamine, discoverer of latex encourages his listeners of "to study the properties and to seek the party which one could draw". The first application, and curiously during nearly fifty years only, will be that to erase the features of pencil mines. In 1770, a British scientist Joseph Priestley notes "I saw a substance perfectly adapted to the obliteration of the marks of graphite pencil on paper". This use to erase while rubbing (to rub) will give its English name to rubber "rubber". In 1770 the first latex gums are sold in England by Edward Naime with the very high price of three shillings the small cube of an half-inch. These gums to be erased became black and were sold under the name of "skin of negro". The latex is a natural vegetable matter, it browns and hardens with the air then is degraded and rots like very foodstuff. The use of these first gums was not very practical. The discovery of vulcanization by Charles Goodyear in 1839 completely modified the use of the latex which becomes imputrescible rubber, resistant to the cold and heat, not sticking, etc. While becoming more practical, the gum to be erased is democratized starting from half of the XIXe century. The first gum patent fixed at the end of a pencil is deposited into 1878 in the USA.

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2550

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

10 ภาษา ที่ใช้พูดกันมากที่สุดในโลก

1.) ภาษาแมนดาริน (จีนกลาง) ประมาณ 460,000,000 คน
2.) ภาษาอังกฤษ ประมาณ 250,000,000 คน
3.) ภาษาสเปน ประมาณ 140,000,000 คน
4.) ภาษารัสเซีย ประมาณ 130,000,000 คน
5.) ภาษาเยอรมัน ประมาณ 100,000,000 คน
6.) ภาษาอาราบิค ประมาณ 95,000,000 คน
7.) ภาษาญี่ปุ่น ประมาณ 80,000,000 คน
8.) ภาษาเบงคารี (ปากีสถาน-อินเดีย) ประมาณ 75,000,000 คน
9.) ภาษาปอร์ตุเกส ประมาณ 75,000,000 คน
10.) ภาษาอูรดู (ปากีสถาน-อินเดีย) ประมาณ 75,000,000 คน

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

15 วิธีลับสมองให้ความจำดีขึ้

นี่คือคำแนะนำเพื่อความจำที่ดีขึ้น

1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกัน ว่ากันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆสามวๆนั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์

2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆให้เข้าใจได้ง่ายๆขึ้น

3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุดก็คือจดทุกอย่างลงในกระดาษ เขียนไว้กันลืม สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า ถึงแม้ว่าหยดหมึกที่จางที่สุดก็จะอยู่ได้นานกว่าความจำที่ว่าแม่นที่สุด

4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอนะ ที่จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆละก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆเข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆเข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆที่เราคุ้นเคย

6. ฝึก..ฝึก..ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูสิว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่ยังเด็กล่ะ

7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆหรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน

8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มันมักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคยนั่นล่ะ จะเชื่อมั้ยล่ะ ถ้าบอกว่าวิธีเปิดฝากระป๋องแบบดึงขึ้นนั้นน่ะ ต้นตอมาจากการปลอกเปลือกกล้วยนั่นเอง

9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ..แล้วคำโบราณที่บอกว่าคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลนั่นน่ะมันเป็นความจริง การที่เราได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอนั้นจะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ

10. เลียนแบบลีโอนาโด..หมายถึง ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด

11. เอาใจใส่ เคยมั้ยที่เวลาได้เจอใครๆกลับจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร ที่เป็นปัญหาอาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆนั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น

12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้

13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย

14. ลองทำสิ่งใหม่ๆจะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

15 ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด ขึ้นป้าย Don't Disturb! ติดไว้ข้างตัว เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดี

เครดิต : http://www.pooyingnaka.com/story/story.php?Category=scoop&No=136

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ตังค์หาย 1 บาท ช่วยหาหน่อยดิ !

อ่านดีๆๆๆๆ นะ

มีลูกค้า 3 คนไปกินก๋วยเตี๋ยว ชื่อ หมู ลิง โด้ สั่งก๋วยเตี๋ยวมา 3 ชาม อาแปะบอก "ล่าย ล่ายเลยทุกคง"
พอก๋วยเตี๋ยวมา ก็กินกันจนหมด จึงเรียกอาหมวยมาเก็บตังค์ อาหมวยบอกว่า "ชามละ 15 บาท 3 ชาม รวมเปง 45 บาท" ทั้ง 3 คนก็ควักตังค์จ่ายไปคนละ 15 บาท
แต่พอหมวยเอาตังค์ไปให้อาแปะ อาแปะบอกว่า "เค้ามากิงบ่อยแล้ว ลดให้ 5 บาทละกัง"
อาหมวยจึงถือตังค์มา 5 บาทมาคืน โด้กลัวหารไม่ลงตัว เลยเอาไปแค่ 3 บาทเพราะจะได้หารลงตัว 3 คน คือคนละ 1 บาท ที่เหลือ 2 บาทเลยให้เป็นทิปอาหมวยไปแต่เมื่อลองมาคำนวณอีกที จ่ายไปคนละ 15 บาท ได้คืนมาคนละ 1 บาท สรุปจ่ายไปคนละ 14 บาท
14 บาท 3 คน = 42 บาท บวกกับทิปที่ให้ไป 2 บาท
แล้วทำไมตังค์มันหายไป 1 บาทเนี่ย คิดๆๆๆๆซิ พี่น้อง !!!!

ที่มา :คุณ ^+-+~แฮมเตอร์~+-+^ :http://www.dek-d.com/board/view.php?id=959458

เฉลย

ก็จ่ายไป 3 คน 45 บาทใช่ไหมได้คืน คนละ บาท ก็ เหลือจ่ายคนละ 14 บาท 3 คนก็ 42 ค่าก๋วยเตี๋ยว ที่ลดแล้ว 40 บาท ทิปอีก 2 บาท 45 บาท คือที่จ่ายตอนแรก แต่สุทธื คือ จ่าย 42 บาท

-*-

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ทำไม?? ทีวีไม่มี "เลขคู่" คุณรู้มั้ย

ต้องทำความเข้าใจกับพื้นฐานเรื่องการรับสัญญาณโทรทัศน์ก่อน คือ การรับสัญญาณภาพซึ่งคล้ายกับการรับสัญญาณเสียง แต่การรับสัญญาณภาพมีรายละเอียดมากกว่า ยกตัวอย่าง เช่น การรับสัญญาณวิทยุจากปีกอากาศมีสัญญาณเครื่องส่งที่ส่งไปสะท้อนกับตึกหรือภูเขา แล้วกลับมาเข้าเครื่องสัญญาณมี 3 ทางด้วยกัน คือ เส้นทางที่ 1 จากเครื่องส่งตรงเข้าเครื่องรับ เส้นทางที่ 2 และ 3 จากเครื่องส่งไปสะท้อนกับตึกและภูเขา แล้วค่อยเข้าไปยังเครื่องรับ ทั้งนี้ จะเห็นว่าระยะทางของคลื่นสะท้อนมีระยะทางมากกว่า จึงทำให้เดินทางไปถึงเครื่องรับช้ากว่า สมมุติว่าคลื่นตรงระยะทาง 20 กิโลเมตร และระยะทางคลื่นสะท้อนมีระยะทาง 25 กิโลเมตร การเดินทางของคลื่น 300,000 กิโลเมตร/วินาที ระยะทางที่เดินทางต่างกันน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วของคลื่นที่เดินทาง แต่มนุษย์เราแยกไม่ออก เพราะเสียงที่สะท้อนและเข้ามาทีหลังมีสัญญาณที่คล้ายกัน ขณะที่การรับสัญญาณภาพ หากมีคลื่นสะท้อนจะปรากฏเป็นภาพซ้อนขึ้น ซึ่งตาของมนุษย์สามารถมองเห็นได้ ดังนั้นการส่งและรับสัญญาณภาพจึงต้องจัดระบบและอุปกรณ์ในการรับสัญญาณที่มีทิศทางในการรับที่แน่นอน
โดยต่อมาได้มีการพัฒนาระบบการรับของปีกอากาศในการรับในแบบทิศทางเดียว และเพื่อป้องกันความสับสนในการรับส่งช่องสัญญาณ ประเทศไทยจึงปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณใหม่จากส่งสัญญาณโทรทัศน์ครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ผ่านความถี่ VHF แบ่งช่องสัญญาณออกมาเป็นช่องๆ คือ ช่อง 2 ความถี่ 47-54 MHz ช่อง 3 ความถี่ 54-61 MHz ถึงช่อง 5 ความถี่ 174-181 MHz
จะเห็นได้ว่าช่องสัญญาณแต่ละความถี่แบ่งออกเป็นแต่ละช่อง ช่องโทรทัศน์ก็เลยเอาชื่อของช่องผ่านความถี่ VHF ตั้งชื่อช่องโทรทัศน์ 3-5-7-9-11 ปัญหาก็คือเมื่อช่องต่างๆ จะส่งสัญญาณในต่างจังหวัดก็จะต้องมีการสลับช่องส่ง ช่อง 3 ในกรุงเทพฯ เมื่อออกต่างจังหวัดอาจต้องย้ายความถี่ไปส่งเป็นช่อง 6 ช่อง 7 กรุงเทพฯ อาจจะต้องย้ายไปส่งช่อง 12 จึงเกิดความสับสนว่าทำไมจูนความถี่ 224 MHz เป็นช่อง 12 แต่มีโลโก้ของช่อง 7 ออกมา
ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวไม่เกิดแล้ว เพราะโทรทัศน์ทุกวันนี้เป็นระบบ AUTO TONE ค้นหาช่องเอง และเรียงช่องให้อัตโนมัติ ถึงเวลาก็เปลี่ยนช่อง ไม่ต้องไปสนใจว่าความถี่อะไรเป็นช่องอะไร ในปัจจุบันได้มีโทรทัศน์เพิ่มขึ้นมาอีกย่าน UHF ได้สัมปทานช่อง 29 (ITV หรือเดี๋ยวนี้คือ TITV) ความถี่ 534-542 MHz หากตั้งชื่อของช่องสถานีเป็นชื่อช่อง 29 คงจะปวดหัวน่าดู เฉพาะในกรุงเทพฯ ก็ส่งไป 3 ช่องความถี่ คงต้องมีการแจกเอกสารชี้แจงเรื่องความถี่ไม่ตรงกับชื่อช่องวุ่นวาย จึงมีการตั้งชื่อเองว่า ITV จะส่งช่องอะไรก็ได้ (ในช่วงแรกๆ ส่ง 3 ช่องสัญญาณ 26, 29, 34)

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550

ผลวิจัย เกี่ยวกับ โรงเรียนกวดวิชา ในปัจจุบัน

จากที่ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่าง น้องๆมอปลายประมาณ 800 คน
หัวข้อเกี่ยวกับ โรงเรียนกวดวิชาในปัจจุบัน
ผล Vote แยกให้ตามรายวิชา โดยคิดเป็น %
วิชาเคมี
1. อาจารย์อุ๊ 92%
2. อาจารย์สำราญ 2.6%
3. อาจารย์บัวแก้ว 2.2%
4. อื่นๆ 3.2%

วิชาคณิตศาสตร์
1. The Brain 26%
2. พี่ต้อม(อาจารย์เศรษฐกาณต์) ที่ Eureka 22.7%
3. อาจารย์อรรณพ 22%
4. Sup-K 18%
5. อาจารย์สมัย 9.3%
6. อื่นๆ ประมาณ 2%

วิชาฟิสิกส์
1. Applied PhySics 38%
2. Neo Physics 29%
3. Ideal Physics 12%
4. อาจารย์ธวัชชัย 13%
5. อื่นๆ 8%

วิชาชีวะวิทยา
1. อาจารย์เอกฤทธิ์ 42%
2. อาจารย์สมาน 39%
3. หมอพิชญ์ 19%

วิชาภาษาอังกฤษ
1. อาจารย์สมศรี 28%
2. Access 22%
3. Enconcept 21%
4. อาจารย์ดวงใจ 19%
5. อื่นๆ 10%

วิชาภาษไทย
1. Da'Vance อาจารย์ปิง 42%
2. อาจารย์ ลิลลี่ 37%
3. อาจารย์ธเนศ 11%
4. อื่นๆ 10%

วิชาสังคม
1. Da'Vance อาจารย์ปิง 67%
2. ครูป็อบ 21%
3. อื่นๆ 11%

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2550

เนื้อเพลง: And I'm Telling You I'm Not Going

And I am telling you I'm not going.
You're the best man I'll ever know.
There's no way I can ever go,
No, no, no, no way,
No, no, no, no way I
'm livin' without you.
I'm not livin' without you.
I don't want to be free.
I'm stayin', I'm stayin',
And you, and you, you're gonna love me.
Ooh, you're gonna love me.

And I am telling you I'm not going,
Even though the rough times are showing.
There's just no way,
There's no way.
We're part of the same place.
We're part of the same time.
We both share the same blood.
We both have the same mind.
And time and time we have so much to share
, No, no, no,
No, no, no,
I'm not wakin' up tomorrow mornin'
And findin' that
there's nobody there.

Darling, there's no way,
No, no, no, no way I'm livin' without you.
I'm not livin' without you.
You see, there's just no way,
There's no way.
Tear down the mountains,
Yell, scream and shout.
You can say what you want,
I'm not walkin' out.
Stop all the rivers,
Push, strike, and kill.
I'm not gonna leave you,
There's no way I will.

And I am telling you I'm not going.
You're the best man I'll ever know.
There's no way I can ever,
ever go, No, no, no, no way,
No, no, no, no way I'm livin' without you.
Oh, I'm not livin' without you,
I'm not livin' without you.
I don't wanna be free.
I'm stayin', I'm stayin',
And you, and you,
You're gonna love me.
Oh, hey, you're gonna love me,
Yes, ah, ooh, ooh, love me,
Ooh, ooh, ooh, love me,
Love me,
Love me, Love me,
Love me.
You're gonna love me.

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2550

Poupée russe


La poupée russe ou matriochka (матрёшка en russe) est une petite poupée gigogne traditionnellement fabriquée en bois. Autrement dit, c'est un emboîtement de plusieurs poupées de tailles successives, la plus volumineuse contenant toutes les autres poupées, parfois plus d'une dizaine.

En français, la version féminine est appelée babouchka (бабушка en russe) qui veut dire « grand-mère » alors que la version masculine est appelée dedouchka (дедушка) qui veut dire « grand-père ». Ces termes ne sont pas utilisés en russe.

Cette tradition russe du XIXe siècle serait d'origine japonaise, inspirée par l'imagerie du dieu Fukuruma, du panthéon bouddhiste, représenté par une figurine enchassée dans d'autres plus grandes à l'identique. Ces poupées sont un symbole de fertilité.

Ces poupées ont été introduites en France lors de l'exposition universelle de Paris de 1900.


คำศัพท์
dizaine [ดีแซน(เนอ)] (nf.) =ประมาณสิบ
autre [โอต (เตรอ)] 1. (a.) (pr.) =อันอื่น,คนอื่น 2. (a.) =อื่นๆ
russe [ รึส (เซอ)] (a.n.) ={แห่งประเทศ,ชาว}รัชเซีย
siècle [ซีแอ(เกลอ)] (nm.) =ศตวรรษ,สมัย,ยุค
parfois [ปาร์ฟัว] (ad.) =บางครั้ง,บางที,ตามโอกาส

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2550

Pic แมว น่ารักๆ+เฮฮานิสหน่อย



















แมวมีชื่อเรียกทั่วไปในภาษาลาตินว่า "เฟลิส คาตัส" (Felis Catus) ไปเจอมาจากบทความหนึ่งอ่านะ อ่านๆไว้ก็ดี
แมว มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Felis Catus นักชีววิทยาค้นพบว่า บรรพบุรุษของแมวถือกำเนิดขึ้นกว่า 50 ล้านปีมาแล้ว เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และกินเนื้อเป็นอาหาร เรียกว่า Miacis และได้วิวัฒนาการขั้นมาจนเริ่มมีลักษณะคล้ายแมวเมื่อ 10 ล้านปีก่อน มีขนาดและรูปร่างใกล้เคียงกับแมวป่าที่มีเขี้ยวขนาดใหญ่ เรียกว่า Dinistis
ต้นตระกูลของแมวบ้านจริงๆนั้น แยกออกมาจากตระกูลของ เสือไซบีเรียน และแมวพื้นเมืองต่างๆ ในปัจจุบันสายพันธุ์แมวถูกรวบรวมไว้ถึง 36 ตระกูล 51 ชนิด (รวมทั้งสิงโตและเสือต่างๆด้วย)
ต่อมาถึงยุคอียิปต์โบราณ ประมาณ 4,000 กว่าปีก่อน พวกชาวนาได้นำแมวป่า (แมวพื้นเมืองของอียิปต์) มาฝึกให้เชื่อง เพื่อใช้จับหนูในโรงนาและเมื่อหนูในโรงนาหมดไป ก้อทำให้ผลิตผลและพืชพันธุ์มีความเสียหายน้อยลง ประชาชนก็มีอาหารอุดมสมบูรณ์ขึ้น และไม่มีโรคภัยที่เกิดจากหนูอีกด้วยชาวอียิปต์จึงนับถือแมวเป็นสัตว์เทพเจ้า
ชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้า "Bastet" (เทวีบัสเตต) ซึ่งมีตัวเป็นคน แต่มีหัวเป็นแมว เป็นเทพเจ้าแห่งความรัก และความอุดมสมบูรณ์
นอกจากชาวอียิปต์จะใช้แมวจับหนูในโรงนาแล้ว ยังใช้แมวจับหนูบนเรือสินค้าอีกด้วย ตรงจุดนี้ เลยเกิดความเชื่อว่า เมื่อเรือเทียบท่า แมวก็ลงจากเรือ แต่ไม่ได้กลับขึ้นเรือจึงทำให้แมวขนาดพันธุ์ไปทั่วโลก
ชาวอียิปต์โบราณนั้นนับถือแมวถึงขนาดแมวในบ้านตาย ยังต้องนำไปทำมัมมี่เลย (มัมมี่คนจะทำเฉพาะราชวงศ์และขุนนางเท่านั้น) มัมมี่แมวสามารถหาดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ
ในเมื่อแมวเป็นสัตว์เทพเจ้าของอียิปต์โบราณ จึงมีกฎ หากใครฆ่าแมว จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
[อยากให้พวกที่กินแมว--มันโดนจิงๆ]
พวกที่ต้องการยึดครองอาณาจักรอียิปต์โบราณ จึงใช้วิธีชั่วร้าย "อุ้มแมวไปรบ" แล้วพวกทหารอียิปต์จะสู้ได้อย่างไร (เป็นส่วนหนึ่งของการรบอียิปต์ไม่ได้ล่มสลายเพราะแมว) แต่ถึงอียิปต์โบราณจะล่มสลายไปแล้ว ชาวอียิปต์ในสมัยก่อนยังนับถือบูชาแมวเหมือนเดิม ขนาดชาวโรมันบางคน (สมัยนั้นโรมันปกครองอียิปต์) ฆ่าแมวยังถูกพวกอียิปต์ลงโทษเลย
ต่อมาเข้าสู่ยุคกลางในยุโรป มีความเชื่อเรื่องแม่มด และความชั่วร้ายต่างๆ ชาวยุโรปในยุคนี้กล่าวหาว่า แมวเป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด (โดยเฉพาะแมวดำ) ดังนั้นใครเลี้ยงแมว จะถูกประณามว่าเป็นแม่มดร้าย ยิ่งเป็นคนแก่เลี้ยงแมวยิ่งแล้วใหญ่ พวกนี้มักจะโดนเผาทั้งเป็น ทั้งคนและแมว ดังนั้นเมื่อแมวน้อยลง จึงทำให้มีหนูมากขึ้น ทำให้กาฬโรคระบาดหนักในยุโรปช่วงนั้น
ในยุคใกล้ๆกัน แถบเอเชียอย่างญี่ปุ่นกับจีน เริ่มเลี้ยงแมวกันมากขึ้นจากเดิมที่เคยเลี้ยงอยู่แล้ว และที่ญี่ปุ่นก็ยังใช้แมวเป็นสัญลักษณ์นำโชคอีกด้วย จะเห็นได้จาก "แมวกวัก" ที่ใช้กันตามร้านค้า จะใช้กวักลูกค้า หรือกวักเงินก็แล้วแต่ท่าทางของแมวตัวนั้น และที่จีนก็เชื่อว่า แมวเป็นสัตว์นำโชค เพราะว่าแมวจะเข้ามาอยู่ในบ้าน ก็ต่อเมื่อมันพอใจที่จะอยู่เท่านั้น เมื่อมันเข้ามาอยู่แล้วเจ้าของบ้าน มักจะมีโชคลาภมา
ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเลี้ยงแมวมา ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เลี้ยงไว้เพื่อใช้จับหนูเหมือนกับชาวอียิปต์นั่นแหละ จนมีตำราแมวให้คุณ-ให้โทษ
แมวไทยคู่แรกที่ออกจากประเทศไทย ไปสู่สายตาชาวโลก ถูกนำออกไปโดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ทรงประราชทานให้กับ Mr. Owen Gould กงศุลอังกฤษประจำกรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2427 ซึ่งได้นำแมวคู่นี้ไปให้น้องสาวที่อังกฤษ แมวไทยคู่นี้เป็นแมววิเชียรมาศแต้มสีครั่ง และในปี พ.ศ. 2428 แมวไทยคู่นี้ถูกส่งเข้าประกวดในงานแมวที่ The Crystal Palace ณ ประเทศอังกฤษ ผลการประกวด ปรากฏว่า แมวไทยคู่นี้ชนะเลิศในการประกวด จากการประกวดครั้งน ี้ทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น และได้จัดตั้ง The Siamese Cat Clubs ขึ้นในปี 2443 และ The Siamese Cat Society of the British Empire ขึ้นในปี พ.ศ. 2471
หลังจากที่แมวไทยคู่นี้ได้ทำเชื่อเสียง ในอังกฤษ ร.5 ทรงเห็นว่า แมวไทยเป็นสัญลักษณ์ ที่สามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักของประเทศทั่วโลก จึงได้พระราชทานแมวไทย ให้กับประเทศเพื่อนบ้าน หลายประเทศ และจากสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำนั้น ทำให้แมวไทย และประเทศไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลกเลยทีเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ที่มาของ "แฮมเบอร์เกอร์" อาหารยอดนิยม

ยังไม่มีการบันทึกที่ชัดเจนว่าประเทศหรือชนชาติใดเป็นต้นตำรับของแฮมเบอร์เกอร์ แต่คำที่ใช้เรียกขนมปัง 2 ชิ้นที่มีเนื้ออยู่ตรงกลางว่าแฮมเบอร์เกอร์นั้น เริ่มต้นขึ้นที่เมืองฮัมบูร์ก(Hamburg) ประเทศเยอรมนี ขณะที่เมนูกินด่วนแบบนี้ยังไปฮิตติดอันดับที่สหรัฐ แทน ส่วนคนในฮัมบูรก์เองนั้น กลับนิยมทานแซนด์วิชมากกว่า อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ที่แนะนำให้ชาวฮัมบูร์กรู้จักกับการปรุงอาหารชนิดนี้ โดยมีผู้กล่าวถึงที่มาเอาไว้ 2 ทฤษฎีด้วยกัน โดยทฤษฎีแรกมีการกล่าวเอาไว้ว่า ในช่วงยุคกลาง เมืองฮัมบูร์กเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญระหว่างโลกอาหรับและยุโรป ทำให้พ่อค้าอาหรับเข้ามาติดต่อกับชาวบ้าน และได้แนะนำอาหารที่ชื่อกะบาบ ซึ่งเป็นเนื้อลูกแกะบดผสมเครื่องเทศ ที่มักจะกินกันดิบๆ ให้กับชาวบ้าน
หลังจากนั้นชาวเมืองฮัมบูร์กได้ดัดแปลงเปลี่ยนจากเนื้อลูกแกะไปเป็นเนื้อหมูหรือว่าเนื้อวัวแทน พร้อมกับปรุงรสขึ้นใหม่ จนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และสุดท้ายก็พัฒนากลายมาเป็น “แฮมเบอร์เกอร์” ในเวลาต่อมา
ส่วนอีกทฤษฎีนั้นกล่าวไว้ว่า ในช่วงที่กองทัพมองโกลของเจงกีสข่านยกทัพบุกรัสเซียนั้น เหล่าทหารจะกินเนื้อลูกแกะดิบที่ปั้นเป็นก้อนกลม ซึ่งเหล่าทหารมีวิธีการทำให้เนื้อนิ่มด้วยการวางไว้ใต้อานม้า
จากนั้นชาวรัสเซียก็รับเอาอาหารชนิดนี้ไป และเรียกว่า “ทาร์ทาร์สเต็ก” เนื่องจากชาวรัสเซียเรียกชาวมองโกลว่า “ทาร์ทาร์” และในช่วงศตวรรษที่ 17 รัสเซียเริ่มที่จะค้าขายติดต่อกับเมืองฮัมบูร์กและก็ได้นำอาหารชนิดนี้ไปเผยแพร่ด้วย โดยชาวเยอรมันได้เปลี่ยนไปใช้เนื้อวัวไปปรุงรสด้วยเครื่องเทศในท้องถิ่นจนกลายเป็น “ฮัมบูร์กสเต็ก” และอาจจะนำไปรมควันหรือว่าหมักเกลือ เพื่อที่จะสามารถเก็บได้นานระหว่างที่กำลังเดินทาง
จากนั้น ทหารเรือชาวเยอรมันและผู้อพยพก็ได้นำเมนูนี้ติดตัวไปยังสหรัฐฯด้วยในช่วง 1800s และในช่วงทศวรรษที่ 1820 หรือ 1830 นี่เองที่มีการนำชื่อ “แฮมเบอร์เกอร์สเต็ก” ไปปรากฏอยู่บนรายการอาหารของร้านอาหารที่ชื่อเดลโมนิโก ซึ่งตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ก่อนจะได้รับความนิยมแพร่หลาย ไปอย่างรวดเร็ว
ช่วงต้นยุค 1900s ร้านอาหารในสหรัฐฯมากมายหลายร้านได้เริ่มนำแฮมเบอร์เกอร์สเต็กมาใส่ระหว่างขนมปัง 2 ชิ้น หรือว่าใส่ข้างในขนมปัง และเมื่อแฮมเบอร์เกอร์สเต็กถูกนำมาใส่ไว้ข้างในขนมปัง จึงถูกเรียกว่า “แฮมเบอร์เกอร์แซนด์วิช” และผู้ที่คิดค้นขนมปังก้อนสำหรับแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมาก็คือพ่อครัวที่ชื่อ เจ วอลเตอร์ แอนเดอร์สัน ในปี 1916 ก่อนที่เขาค้นนี้จะไปเปิดร้านอาหารที่ชื่อ ไวท์คาสเซิลในปี 1921 สำหรับชีสแฮมเบอร์เกอร์ หรือที่เรียกสั้นๆว่าชีสเบอร์เกอร์นั้น ว่ากันว่าผู้ที่เริ่มคิดค้นลงมือทำเป็นคนแรกก็คือเชฟที่ชื่อ ไลโอเนล สไตน์เบอร์เกอร์ จากร้านอาหารที่ชื่อ ไรท์สปอต ในเมืองพาซาดีนา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของฟาสต์ฟูดส์อย่างแฮมเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในยุคปัจจุบันก็คือ เรย์ ครอก ซึ่งเริ่มเปิดตัวร้านแมคโดนัลด์สาขาแรกช่วงกลางทศวรรษที่ 1950

ที่มา : www.manager.co.th

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2550

Pic มงแซง-มีแชล งามๆ




Vue aérienne du mont.
La marée basse expose une boue épaisse sur les rives du Couesnon
Édifices anciens du Mont-Saint-Michel.







Le Mont-Saint-Michel






มงแซง-มีแชล (Mont Saint-Michel) คือวิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยว กลางทะเลชายฝั่งตะวันตก บริเวณแคว้นนอร์มองดีของประเทศฝรั่งเศส ได้รับประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโกเมื่อปี พ.ศ. 2522 ภายใต้ชื่อ มงแซง-มีแชลและอ่าว
ในปีหนึ่งจะมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมงแซง-มีแชลกว่า 3 ล้าน 2 แสนคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยงยอดนิยมอันดับที่ 3 ของประเทศฝรั่งเศสรองลงมาจาก
หอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซาย
ตัวเกาะอันเป็นที่ตั้งของวิหารนั้นเป็นหินแกรนิต โดยมีเส้นรอบวงเกาะประมาณ 960 เมตร และสูง 92 เมตร แล้วถ้าบวกกับความสูงของตัววิหารนั้นแล้วก็จะมีความสูงถึง 155 เเมตร บนยอดวิหารเป็นรูปปั้นทองของนักบุญมิเชล (ไมเคิล) สร้างโดย เอมานูแอล เฟรมีเย (Emmanuel Frémiet)


ประวัติ
ก่อนที่จะมีการสถานปนาราชวงศ์แรกของฝรั่งเศสขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 เกาะนี้เคยถูกเรียกว่า มงตงบ์ (Mont Tombe) และตามตำนาน วิหารที่อยู่บนเกาะนี้ถูกสร้างโดยการแนะนำของนักบุญมีแชล ที่ได้เข้าฝันนักบุญโอแบร์
บิชอปแห่งมาฟรองช์เมื่อปี พ.ศ. 1251 แต่เขาก็มิได้ปฏิบัติตาม เนื่องจากนึกว่าปีศาจได้มาเข้าฝัน เขาจึงได้เพิหเฉยไป จนมาถึงการฝันครั้งที่ 3 มีแชลได้ใช้นิ้วของเขาจิ้มที่หัวของโอแบร์ และเมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ตะลึงว่ามีรูอยู่บนหัวจริง ๆ จากนั้นมาเขาจึงตัดสินใจสร้างวิหารบนยอดเขา

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2550

รู้ไม๊ "ยุงชอบกัดคนที่แอคทีฟ"

เคยสังเกตุไหม?ว่าเวลาเรานั่งคุยกับเพื่อนเพื่อนบางคนโดนยุงกัดหรือบางทีอาจจะเป็นเราเองทีโดนยุงกัด มากกว่าเพื่อน คนแอ็กทีฟ คนตัวใหญ่และคนอยู่ไม่สุข คนพวกนี้มีกระบวนการย่อยสลายเพื่อเปลี่ยนพลังงาน(metabolism)ไวหล่าคนอื่นจึงเป็นเป้าหมายที่จะดึงดูดให้ยุงมากัดมากกว่าคนอื่นๆ จากการศึกษา ของโจนาธาน เดย์(ศาสตาจารย์ทางกีฎวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย ฟลอริด้า) พบว่ายุงใช้วิธีสูดกลิ่นอคาร์บอนไดออกไซด์จากระยะห่าง5 เมตรออกไปเพื่อควานหาเหยื่อของมัน และเนื่องจากคนตัวใหญ่จะหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซต์มามากกว่าปกติดังนั้นพวกเขาจึงตกเป็นเป้าหมายมากกว่า เมื่อยุงบินเข้ามาใกล้ ตาของมันจะสังเกตุเห็นความเคลื่อนไหวของ คนแอ็กทีฟจึงโดดเด่นกว่าในสายตาคนอื่น และคนที่สวมเสื้อผ้าสีเข้มก็เช่นกัน ทั้งนี้เพราะยุงมองเห็นสีในลักษณะที่ตัดกับแสง ยุงจะตัดสินใจว่าจะกัดและดูดเลือดหรือไม่ ก็ต่อเมื่อร่อนลงเกาะบนตัวคนนั้นๆแล้วนั่นแหละจึงจะพิจารณา โดยพิจารณาจากความร้อนและองค์ประกอบของทางเคมีในร่างกายของเป้าหมาย เงื่อนไขข้อนี้ทำให้คนแอ็กทีฟตกที่นั่งลำบากต่อไปอีกเพราะ ยุงอาศัยความร้อนของร่างกายเพื่อค้นหาจุดที่ดีที่สุดของที่มันจะดูดเลือด นั่นคือบริเวณที่มีปริมาณเลือดมากอยู่ใกล้ผิวหนัง นอกจากนี้ยุงยังหาร่องรอยของกรดแล็กติกหรือกรดนม ซึ่งจะพบในนมเปรี้ยวแล้ว กรดจะผลิตขึ้นมาเวลาที่เราออกกำลังกายหนักๆด้วย เมื่อยุงไม่ค้นพบกรดแล็กติกยุงก็จะบินจากไปเพื่อหาเป้าหมายที่ดีกว่า จากหนังสือ 108 ซองคำถาม

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2550

มารู้จักงานกีฬามหาวิทยาลัยโลกกันเถอะ

"universiade" เกิดจากการรวมกันของคำว่า "university" และคำว่า "olympiad" แปลความหมายได้ว่า มหกรรมกีฬาระดับนักศึกษา ที่มีความเทียบเท่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ปัจจุบันมีการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน และฤดูหนาว ทุกๆ 2 ปี ซึ่งอยู่ในปี พ.ศ.2550 นี้ ในประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ ในการจัดการแข่งขันกีฬามหาลัยโลกฤดูร้อน ครั้งที่ 24 ระหว่างวันที่ 8-18 สิงหาคม โดยมีการแข่งขันกีฬาหลักทั้งหมด 10 ชนิด ตามที่ fisu กำหนด และกีฬาเลือกอีก 5 ชนิด ที่ประเทศเจ้าภาพเป็นผู้เลือก โดยมีประเทศที่ร่วมแข่งขันกว่า 170 ประเทศ และนักกีฬากว่า 8,500 คน เข้าร่วมในการแข่งขัน
เส้นสายทั้ง 5 สี ร้อยเรียงในรูปตัว U เปรียบได้ดังเส้นสายแห่งการถ่ายทอดประสบการณ์ การแลกเปลี่ยนความรู้ และ วัฒนธรรม ระหว่างตัวแทนและนักกีฬาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ใน 5 ทวีป ทั่วโลก ทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งเดียว พุ่งม้วนเข้าสู่สัญลักษณ์ลวดลายสีเหลืองทอง อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย เปี่ยมล้นไปด้วยความปิติยินดี และ ความภาคภูมิใจที่ได้รับเกียรติให้ เป็นศูนย์กลางแห่งการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จึงเป็นที่มาของคำว่า “ALL BECOME ONE”
เนื่องในปี พ.ศ.2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงเลือก “กระต่าย” อันเป็นนักษัตรปีพระราชสมภพ เป็นสัญลักษณ์นำโชคในการแข่งขันครั้งนี้
กระต่าย เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความว่องไว เฉลียวฉลาด อ่อนโยน พร้อมต้อนรับนักกีฬา ทุกชาติด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพ ทั้งรูปร่างหน้าตา สีสัน และ กิริยาท่าทาง ล้วนแสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน อันเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยที่สืบต่อกันมายาวนาน

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2550

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

กรุ๊ปเลือด [Blood]

Blood A

คุณเป็นคนอย่างไรในยามที่พูดคุยในหมู่เพื่อนๆ

คุณเป็นคนที่พูดเก่ง คุยเก่ง เป็นคนชอบพูดมักกว่าชอบฟัง คุณคุยได้ทุกเรื่องขอให้มีคนเปิดประเด็น

คุณเป็นคนอย่างไรในยามที่ทะเลาะกับชาวบ้าน

คุณไม่ชอบทะเลาะ เกะกะระรานกับใครๆ ก่อน ไม่ชอบไปวุ่นวายกับใคร หากเขาไม่เข้ามาวุ่นวายกับคุณก่อน คุณเป็นคนสุขุมเยือกเย็น เวลาที่คุณไม่พอใจใครคุณจะไม่ค่อยพูด แต่มักใช้สายตาในการทะเลาะมากกว่าการพูดด้วยความโกรธ


เรื่องราวความรักของคุณ

คุณเป็นคนกล้าๆ กลัวๆ ในเรื่องการแสดงออกให้คนที่คนแอบชอบว่าคุณมีใจให้เขา ไม่กล้าบอกรักหรือกล้าที่จะเข้าไปจีบ ฉะนั้นความรักของคุณยากที่จะสมหวัง เพราะต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ


เป็นอย่างไรเมื่อเวลาโศกเศร้า เจ็บปวดใจ

คุณเป็นคนคิดมาก เป็นคนจำง่ายแต่ลืมยากในเรื่องที่ทำให้คุณเจ็บปวดใจ ยอมรับไม่ค่อยได้เกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้คุณต้องเสียใจ คุณจะเฝ้าครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้คุณเสียใจตลอดเวลาและคุณจะไม่สามารถทำใจได้จนกว่าคุณจะยอมรับในเรื่องนั้น


ความขยันเรื่องการเรียนการศึกษาของคุณ

คุณเป็นคนขยันขันแข็งในเรื่องการศึกษา แต่เป็นคนแบ่งเวลาไม่ค่อยถูกว่าเวลานี้ควรทำอะไร จนบางครั้งงานบางอย่างกลายเป็นดินพอกหางหมู ทำให้โดนตำหนิได้


กลยุทธ์และวิธีปลอบใจในเวลาที่คุณเศร้า

ในเวลาที่คุณเศร้า ถ้ามีคนพูดปลอบใจดีๆ คำพูดหวานๆ คำชมทุกชนิดที่สามารถสรรหาได้ในโลกนี้ คุณจะหายโศกเศร้าลงได้มากหากมีใครโทรศัพท์หาคุณพร้อมกับคำพูดปลอบใจหวานๆ


ทำอย่างไรจะทำให้คุณหายโกรธ

คนอย่างคุณเนี่ยลองโกรธให้ใครแล้วหายยากจริง เข้าลักษณะโกรธง่ายหายช้า ยากจะหาวิธีทำให้คุณหายโกรธได้ นอกจากปล่อยให้เวลาผ่านไป หรือปล่อยให้อยู่คนเดียว อารมณ์โกรธของคุณก็จะคลายหายไปเอง

Blood AB


คุณเป็นคนอย่างไรในยามที่พูดคุยในหมู่เพื่อนๆ

คุณไม่ค่อยพูด มักเป็นฝ่ายนั่งฟังคนอื่นพูดมากกว่า จึงทำให้เพื่อนๆ ชอบอุปนิสัยของคุณและมักจะระบายความในใจให้คุณฟังอยู่ประจำ


คุณเป็นคนอย่างไรในยามที่ทะเลาะกับชาวบ้าน

คุณเป็นคนใจดี ไม่ชอบทะเลาะหรือหาเรื่องกับใครก่อน หากไม่มีความจำเป็น คุณสามารถระงับสติอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนมากมักเป็นกรรมการห้ามคนอื่นที่เขาทะเลาะกันมากกว่าที่จะไปหาเรื่องทะเลาะกับใครๆ


เรื่องราวความรักของคุณ

คุณไม่ค่อยเที่ยวแสวงหาความรัก เพราะคุณเป็นมั่นใจในตนเองมาก คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์และเท่ห์มาก คุณมักทำให้เขาเป็นฝ่ายเข้ามาหาคุณเองมากกว่าคุณจะเป็นฝ่ายติดต่อเข้ากับเขาก่อน และคุณมักจะถูกเพศตรงข้ามตามตื้อและขอความรักเสมอ น่าอิจฉาจริงๆ นะครับ ยังไงก็อย่าลืม มหาหมอดูดอทคอม www.mahamodo.com ล่ะ


เป็นอย่างไรเมื่อเวลาโศกเศร้า เจ็บปวดใจ

คุณเป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดี ถึงแม้จะเสียใจมากแค่ไหน น้อยนักที่ใครจะเห็นน้ำตาของคุณ หรือแม้แต่การแสดงออกทางอารมณ์และสีหน้าซึ่งแสดงว่าคุณเสียใจ ยากมากที่ใครจะได้เห็น ยอมรับว่าคุณเก่งจริงๆ


ความขยันเรื่องการเรียนการศึกษาของคุณ

คุณชอบเตรียมวางแผนในเรื่องต่างๆไว้ล่วงหน้าเสมอแต่บางครั้งก็ไม่สามารถทำตามแผนการที่วางแผนไว้ได้หากยึดมั่นตามแผนการเกินไปกลับจะเป็นผลเสียมากกว่าดังนั้นคุณไม่ควรหักโหมจนเกินไปทำเท่าที่คุณสามารถทำได้


กลยุทธ์และวิธีปลอบใจในเวลาที่คุณเศร้า

ในเวลาที่คุณเศร้าเสียใจ ยากนักที่ใครจะรู้และเข้าใจ นอกจากจะปล่อยให้คุณอยู่เงียบๆ คนเดียวเดี๋ยวก็หายไปเอง


ทำอย่างไรจะทำให้คุณหายโกรธ

คุณเป็นคนมีเหตุผล เมื่อโกรธให้ใครแล้วย่อมมีเหตุผลเพียงพอกับความโกรธเสมอ ไม่งั้นคุณไม่โกรธหรอก ใครที่ทำให้คุณโกรธนั้นจะต้องยอมขอโทษคุณก่อนความโกรธของคุณจึงจะคลายลง




Blood O


คุณเป็นคนอย่างไรในยามที่พูดคุยในหมู่เพื่อนๆ

คุณชอบคุยเรื่องที่ทำให้คุณเป็นจุดเด่นขึ้นมา แต่ไม่ใช่เป็นคนขี้โม้นะ บางทีคุณก็เงียบและเป็นฝ่ายนั่งฟังเหมือนกัน


คุณเป็นคนอย่างไรในยามที่ทะเลาะกับชาวบ้าน

หากใครมาทะเลาะกับคุณ คนๆ นั้นถือว่าซวยจริงๆ เพราะคุณเป็นคุณเถียงแบบไม่ถอย ไม่ยอมใครง่ายๆ จะแพ้หรือชนะนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คุณสู้ไม่คอยอยู่แล้ว นอกจากจะแพ้ชนะกันไปข้างหนึ่ง ลักษณะเป็นคนหัวแข็งหน่อยนะ เพลาๆ ไว้บ้าง


เรื่องราวความรักของคุณ

คุณเป็นคนชอบเข้าข้างตัวเองในเรื่องความรัก บางครั้งจนเกือบหลงตัวเองไปนิดๆ เป็นคนมีนิสัยมีนิสัยตรงไปตรงมารักใครแล้วคุณก็จะแสดงออกเปิดเผยกับเขาตรงๆ ชอบบอกรักแบบรวดเร็ว และมักผิดหวังในเรื่องความรัก เพราะบางครั้งไปรักคนที่มีเจ้าของ รักเขาข้างเดียว รักคนที่เขาไม่รักเรา .....



เป็นอย่างไรเมื่อเวลาโศกเศร้า เจ็บปวดใจ

คุณไม่ค่อยใจใส่กับเรื่องเล็กๆ น้อย ไม่ค่อยเก็บมาคิดให้รกสมองและเสียเวลาที่จะทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์มากกว่า คล้ายเป็นคนธรรมะธัมโม (ปลงได้) ฉะนั้นเรื่องที่ทำให้เสียใจคุณสามารถทำใจได้อย่างรวดเร็ว


ความขยันเรื่องการเรียนการศึกษาของคุณ

คนเป็นคนฉลาด มีความจำเป็นเยี่ยม แต่จะขี้เกียจไปหน่อยในการอ่านหนังสือ ไม่ค่อยมีความกระตือรือร้น ชอบอ่านหนังสือหรือติวข้อสอบอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ได้หลับไม่ได้นอนในช่วงใกล้สอบ


กลยุทธ์และวิธีปลอบใจในเวลาที่คุณเศร้า

ดูภายนอกคุณเป็นคนเข้มแข็งแต่ความจริงแล้วคุณค่อนข้างอ่อนไหวง่าย ในเวลาที่คุณโศกเศร้าเสียใจ ขอเพียงแค่คุณได้ระบายความรู้สึกให้ใครซักคนฟัง แล้วคนๆ นั้นพูดว่า ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดีจ้ะ ความเศร้าของคุณก็จะค่อยๆ หายไป


ทำอย่างไรจะทำให้คุณหายโกรธ

คุณเป็นคนมีเหตุผล มักโกรธหรือไม่พอใจง่ายๆ แต่หากคุณโกรธให้ใครล้วนแต่มีเหตุผล (ของคุณ) ที่จะโกรธให้เสมอ วิธีที่ทำให้คุณหายโกรธได้นั้น ทุกคนต้องยอมอ่อนข้อให้คุณ คุณจึงจะหายโกรธ



Blood B


คุณเป็นคนอย่างไรในยามที่พูดคุยในหมู่เพื่อนๆ

คุณเป็นคนมีเอกลักษณ์ในการพูด มีความสามารถพิเศษในการเจรจาพูดคุย เวลาพูดชอบออกท่าทางประกอบไปด้วย ทำให้เพื่อนๆ เข้าใจและคล้อยตามไปด้วยดึงดูดความสนใจผู้คนได้ดี


คุณเป็นคนอย่างไรในยามที่ทะเลาะกับชาวบ้าน

คุณเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว เวลาโกรธหรือไม่พอใจให้ใคร ไม่จำเป็นต้องให้ใครมายุ คุณมีความสามารถเฉพาะตัว ไม่เห็นแก่หน้าใคร สามารถด่าได้ทุกคำทุกภาษาที่มีในโลกนี้ ใครที่ทะเลาะกับคุณถือว่าซวยมากๆ ต้องรีบไปทำบุญถวายสังฆทานเจ็ดวัดเจ็ดวาเพื่อสะเดาะเคราะห์


เรื่องราวความรักของคุณ

คุณเป็นคนที่ใจร้อนในเรื่องของความรัก หากสนใจใครแล้วมักจะไม่รอช้าคิดหาวิธีในการเชื่อมความสัมพันธ์กับคนนั้นอย่างรวดเร็ว แต่บางครั้งการใจร้อนเกินไปไม่เกิดผลดีกับคุณเลย


เป็นอย่างไรเมื่อเวลาโศกเศร้า เจ็บปวดใจ

สาเหตุที่ทำให้คุณต้องเสียใจ ส่วนมากจะมาจากความใจร้อนหรืออารมณ์ร้อนของคุณเอง คุณเป็นคนคิดอะไรได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ คุณคิดได้ในขณะที่คนอื่นยังคิดไม่ทันในเรื่องเดียวกัน เป็นคนหัวเร็ว ตัดสินใจรวดเร็ว จนบางครั้งการตัดสินใจด่วนของคุณอาจทำให้คุณเสียใจ


ความขยันเรื่องการเรียนการศึกษาของคุณ

คุณเป็นคนคิดใหม่ทำใหม่อยู่เรื่อยๆ มักเปลี่ยนใจได้รวดเร็ว ความขยันมักขึ้นกับอารมณ์ของคุณเพราะคุณมักมีนิสัยที่เปลี่ยนใจง่ายดังนั้นผลการสอบที่ออกมามักขึ้นกับอารมณ์ของคุณตอนช่วงที่ดูตำราก่อนสอบเสมอ


กลยุทธ์และวิธีปลอบใจในเวลาที่คุณเศร้า

ในเวลาที่คุณเศร้า ไม่จำเป็นต้องปลอบใจอะไรมาก เพียงแค่มีคนให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ หรืออาจซื้อขนมหรือของกินเล็กๆ น้อยๆ มาฝากคุณคุณหายแล้วล่ะ


ทำอย่างไรจะทำให้คุณหายโกรธ

วิธีที่ทำให้คุณหายโกรธนั้นไม่ยาก เพราะคุณเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว โกรธไม่นานก็ลืมหมด ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมาก ถ้าขืนไปใส่ใจมากจะยิ่งไปกันใหญ่ สรุปว่าหากคุณโกรธ ใครอยากจะทำให้คุณหายโกรธ ไม่ต้องมายุ่งกับคุณ ปล่อยไว้สักพัก คุณก็จะหายโกรธเอง หากไม่เข้าใจมาเกะกะระรานในเวลาที่คุณโกรธเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ



วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

SS501







SS501 (pronounced as Double-S 501) is an South Korean boyband under management of Daesung Entertainment, also known as DSP Entertainment. They debuted in 2005 with their first single "경고" (Warning), with a second single "Snow Prince" released in late 2005. The group was inactive in Korea for most of 2006, although they have had a fan meeting in Japan in April[1]. The hiatus was due to Heo Young Saeng's throat condition which required surgery, thus resulting in a need for time to fully recover.[citation needed]. Around July - September 2006, they held their first concert, "Step Up Concert" in Seoul, Busan, Daegu (South Korea) & also in Osaka, Japan. In late 2006, they returned to Korea in order to promote their first full album, which was released on November 10. Singles from the album included "Unlock" and "Four Chance". As well as promoting the album on various variety and music shows, they also filmed a show on MNet called SOS. On their 600th day (January 28, 2007), they won the Mutizen award from SBS Inki Gayo for their song "Four Chance". As of 2007 they are planning to release an album in Japan (presumably in Japanese) sometime in the future[citation needed], and eventual releases may include a Thai version[citation needed].
A Japanese fanclub is currently being established with the name of "Triple S Japan"; it will officially debut on
March 25, 2007, when SS501 will have its first official meeting with the group. In Korea, their fan club members number around 417,000[citation needed].
Contents[
hide]
1 Member profiles
2 Discography
2.1 Singles
2.2 Albums
2.3 Albums
2.4 DvDs
3 Concerts
4 Radio shows
5 MVs
6 TV shows
7 Movies
8 CFs
9 References
10 External links
//

[edit] Member profiles
Kim Hyun Joong (
Korean: 김현중; chinese character: 金賢重; Japanese: キム・ヒョンジュン)
Birthday:
June 6, 1986
Position: Leader, middle-low vocals
Education: Kyungki University
Note: Kim Hyun Joong has recently become a host of
MBC's music show Show! Music Core[2], debuting on November 11, 2006, joining Brian from Fly to the Sky.
Heo Young Saeng (
Korean: 허영생; chinese character: 許永生; Japanese: ホ・ヨンセン)
Birthday:
November 3, 1986
Position: High vocals
Note: Heo Young Saeng was a former trainee under
SM Entertainment, he left to join DSP Entertainment. He is close to many TVXQ and Super Junior members, notably Hero JaeJoong and Choi Si Won[citation needed].
Kim Kyu Jong (
Korean: 김규종; chinese character: 金圭鐘; Japanese: キム・ギュジョン)
Birthday:
February 24, 1987
Position: Middle vocals
Note: Kim Kyu Jong, along with Park Jung Min, is currently DJ for
SBS's "Youngstreet" radio.
Park Jung Min (
Korean: 박정민 chinese character: 朴政珉; Japanese: パク・ジョンミン)
Birthday:
April 3, 1987
Position: Low vocals
Past Experience: 2003 March to November - "MTV FRESH VJ"
Note: Jung Min is the new MC of a Korean TV Show (
MBC) entitled !느낌표: 위대한 유산 74434. This show explores the Korean heritage and its lost treasures. He is also the DJ for "Youngstreet" along with fellow group member Kim Kyu Jong.
Kim Hyung Joon (
Korean: 김형준 chinese character: 金亨俊; Japanese: キム・ヒョンジュン)
Birthday:
August 3, 1987
Position: Middle-high vocals
Past Experience:
Oak Joo Hyun's (Fin. K.L) music video
Note: Kim Hyung Jun's brother Kim Ki Bum (Marumir/마루미르)is in the new group
Xing. His brother has often been confused with Kim Ki Bum of Super Junior.