วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

"สนามหลวง" สมบัติของชาติ



ท้องสนามหลวง หรือ สนามหลวง เป็นสนามขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังบวรสถานมงคล กรุงเทพมหานคร

ท้องสนามหลวง เดิมเรียกว่า ทุ่งพระเมรุ เนื่องจากใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2398 รัชพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกจาก ทุ่งพระเมรุ เป็น ท้องสนามหลวง ดังปรากฏในประกาศว่า ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนาน ๆ มีครั้งหนึ่งแลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า ทุ่งพระเมรุ นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น ให้เรียกว่า "ท้องสนามหลวง" ’”

ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) เป็นต้นมา ได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น เป็นที่ตั้งพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โปรดเกล้าฯ ให้ทำนาที่สนามหลวง เพื่อแสดงให้ปรากฏแก่นานาประเทศว่า เมืองไทยบริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร มีไร่นาไปจนใกล้ ๆ พระบรมมหาราชวัง และไทยเอาใจใส่ในการสะสมเสบียงอาหารไว้เป็นกำลังของบ้านเมืองด้วย

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีพืชมงคล พิธีพิรุณศาสตร์มีกำแพงแล้วล้อมรอบบริเวณ ข้างในสร้างหอพระพุทธรูปสำคัญเป็นที่ประดิษฐานพระสำหรับพิธี สำหรับการพิธีมีพลับพลาที่ทำการพระราชพิธี มีหอดักลมลงที่พลับพลาสำหรับทอดพระเนตรการทำนา ข้างพลับพลามีโรงละครสำหรับเล่นบวงสรวง ด้านเหนือมีพลับพลาน้อยสร้างบนกำแพงแก้วสำหรับประทับทอดพระเนตรการทำนาในท้องทุ่ง นอกกำแพงแก้วยังมีฉางสำหรับใส่ข้าวที่ได้จากการปลูกข้าว

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดเกล้าฯ ให้ขยายสนามหลวงจากเดิม และรื้อพลับพลาต่าง ๆ ที่สร้างในรัชกาลก่อน ๆ เพราะหมดความจำเป็นที่จะต้องทำนา และได้ใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การฉลองพระนครครบ 100 ปี งานฉลองเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปใน พ.ศ. 2440 ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)ทรงใช้ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ ใช้เป็นสนามแข่งม้าและสนามกอล์ฟ

ในรัชกาลปัจจุบันมีการใช้สนามหลวงเป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ ๆ เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี พระราชพิธีกาญจนาภิเษก รวมทั้งงานพระเมรุมาศเจ้านายระดับสูง เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

สนามหลวงโบราณสถานสำคัญของชาติ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 94 ตอนที่ 126 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2520 มีเนื้อที่ 74 ไร่ 63 ตารางวา


วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มาทำ Portfolio กันเถอะ

องค์ประกอบหลักๆ ของ Portfolio ที่สมบูรณ์

1.
หน้าปก

ควรออกแบบให้สะดุดุตา แบบเห็นปุ๊บแล้วคนหยิบขึ้นมาอ่านปั๊บเลยค่ะ ถ้าหน้าตาดีก็ใส่รูปตัวเองลงไป present ตัวเองเต็มที่ เข้าใจง่าย สรุปเนื้อหา และ มีรายละเอียดครบถ้วนคือ ของใคร ชั้นอะไร เรียนที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เหตุใด ฯลฯ (แต่ต้องเน้นส่วนที่เป็นตัวของเราที่สุด ทำออกมาให้เป็นตัวของตัวเอง)

2.
ประวัติส่วนตัว
นำเสนอตัวเองเต็มที่เลยนะคะ ประวัติทางด้านสถานศึกษา ถ้าจะให้ดี ขอแนะนำว่าให้ทำเป็น 2 ชุด คือ ส่วนที่เป็นภาษาไทย รวมไปถึงข้อมูลที่เป็น personal data และส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษนั่นเอง เพื่อแสดงความสามารถของตนให้แฟ้มดูน่าเชื่อถือมากขึ้นค่ะ

3.
ประวัติทางการศึกษา
ให้เรียงลำดับจากการศึกษาที่น้อยสุด จนกระทั่งปัจจุบันและผลสรุปของผลการเรียนที่ได้ครั่งล่าสุดควรเน้นเป็นส่วนท้ายที่เห็นเด่นชัดที่สุด(อาจมีเอกสารรับรองผลการเรียนแนบมาด้วยก็ได้ จะดีมาก)


4.
รางวัลและผลงานที่ได้รับ
เขียนในลักษณะเรียงลำดับการได้รับ จากปี พ.ศ.(ในส่วนนี้ไม่ขอแนะนำว่าต้องใส่เกียรติบัตรลงไป เพราะอาจทำให้แฟ้มดูไม่มีจุดเด่น เพราะมันเด่นหมด ควรไปเน้นข้อต่อไปดีกว่า)

5.
รางวัลและผลงานที่ประทับใจ
เป็นผลงานหรือรางวัลที่ได้รับ และเกิดความภาคภูมิแบบสุดๆ รางวัลแบบนี้แหละที่เป็นรางวัลแห่งชีวิตข้าพเจ้า (ควรใส่หลักฐานลงไปด้วยอาจมีรูปถ่ายประกอบจะดีมาก)

6.
กิจกรรมที่ทำในโรงเรียน
เช่นเป็นประธานนักเรียน กิจกรรมในชมรม หรืออย่างอื่นใส่เพื่อให้รู้ว่าเรามีประสบการณ์จากการทำงาน หรือตรงส่วนนี้จะใช้เป็นงานพิเศษที่กำลังทำก็ได้ หากเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจะทำให้ผลงานมีคุณค่ามากขึ้น คนหยิบขึ้นมาอ่านจะเห็นคุณค่าของเราตรงนี้ อาจมีเอกสารแสดงด้วยจะดีมากค่า)

7.
ผลงานตัวอย่าง
คือ งานหรือรายงานที่คิดว่าภาคภูมิใจมากที่สุดจากการเรียนที่ผ่านมา เช่น โครงงานวิทยาศาสตร์ รายงาน การวิจัยต่างๆ อาจนำเสนอใน 5 รายวิชาหลัก เป็นต้น

8.
ความสามารถพิเศษต่างๆ
ควรโชว์ในความสามารถพิเศษที่คนทั่วไปมีอยู่เป็นส่วนน้อยที่สามารถทำได้ หรือเป็นความสามารถพิเศษที่สามารถสอดคล้องกับคณะ ที่เราต้องการศึกษาต่อ หรือถ้าไม่มี ก็เป็นความสามารถพิเศษทั่วๆ ไปค่ะ เช่น ร้องเพลง เล่นดนตรี หรือ กีฬา ฯลฯ

ในแต่ละหัวข้อถ้าหากมีการแสดงรูปถ่ายที่เกี่ยวข้องด้วยจะดีมากๆค่ะ ขอให้แฟ้มสะสมผลงานของเพื่อนๆ ออกมาน่ารักกันทุกคนนะคะ

เครดิต: http://www.vcharkarn.com/

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ไม่มีห้องน้ำในแวร์ซายส์

เรื่องห้องน้ำในพระราชวังแวร์ซายส์ ดร.โชติรส โกวิทวัฒนพงศ์ คณะวัฒนธรรมนานาชาติศึกษา มหาวิทยาลัยเทนรี ญี่ปุ่น เขียนไว้ตอนหนึ่งในบทความเรื่อง จาก น้ำ สู่ปฏิวัติฝรั่งเศส ตีพิมพ์ในวารสารประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฉบับกันยายน 2542 สรุปความดังนี้

มีเอกสารระบุว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 กษัตริย์ฝรั่งเศส (1601-1643) เมื่อทรงประสูติและทรงรับการล้างบาปและรับศีลจุ่มแล้ว ไม่เคยลงสรงน้ำอีกเลยจนเมื่อพระองค์มีพระชนม์ได้ 7 พรรษา และมีผู้เริ่มล้างพระบาทให้พระองค์ก็เมื่อพระชนม์ได้ 6 พรรษาแล้ว ความกลัวการลงแช่ในน้ำก็ยังคงมีต่อไปในจิตสำนึกของชาวยุโรปในศตวรรษที่ 17

ครั้งเดียวที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (1643-1715) ทรงสรงน้ำในห้องประทับในพระราชวังแวร์ซายส์ คือเมื่อปี 1655 กลิ่นตัวของพระองค์รุนแรงขนาดผู้จงรักภักดีที่สุดของพระองค์พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าเฝ้า และแม้ว่าแพทย์หลวงจะทูลแนะนำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ตลอดชีวิตของพระองค์ทรงพอพระทัยกับการให้เช็ดพระพักตร์และโกนหนวดเคราสองวันครั้งด้วยการใช้สำลีจุ่มลงในแอลกอฮอล์เช็ดเท่านั้น

ไม่มีห้องอาบน้ำหรือห้องส้วมในพระ ราชวังแวร์ซายส์ พระ ราชวังแวร์ซายส์ซึ่งเริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1624 ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แล้วขยับขยายเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ 15 และที่ 16
ภายในตัวพระราชวังมีการจัดห้องเพื่อวางอ่างอาบน้ำทั้งของพระมหากษัตริย์ พระราชินีและพระสนมต่างๆ ส่วนใหญ่เพื่อการตั้งโชว์เป็นสำคัญ การลงอาบจริงๆ ยังน้อยครั้ง เพราะยิ่งน้ำจากท่อน้ำที่ส่งน้ำจากแม่น้ำแซนที่ปารีสเข้าไปถึงพระราชวังแวร์ซายส์จะน้อยลงๆ น่าประหลาดใจที่พระราชวังแวร์ซายส์มีน้ำจำนวนมหาศาลเพื่อความโอ่อ่า ความมีหน้ามีตาของพระมหากษัตริย์ แต่ไม่มีน้ำใช้เพื่อล้างหน้าล้างตาหรือเพื่อการอนามัยที่ดีของบุคคล

ในสมัยของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (1774-1791) จึงเริ่มมีการจัดทำห้องส้วมจริงๆ หนึ่งห้อง แยกออกจากห้องอื่นๆ รายละเอียดที่น่าสนใจยิ่งอีกอย่างหนึ่งที่มีในพระราชฐานคือมีเก้าอี้นั่งอุจจาระทั้งหมด 274 ตัว เก้าอี้นี้เจาะเป็นรูใหญ่ตรงกลางแผ่นที่นั่ง เป็นรูปทรงแบบแรกก่อนที่จะมีการผลิตโถส้วมแบบนั่งในสมัยต่อมา เมื่อจะทำธุระจะวางกระโถนรองรับไว้ใต้ที่นั่งตรงรูนั้น มีผ้ากองมหึมาที่ใช้สำหรับเช็ดตัวเช็ดก้น

อย่างไรก็ตาม ยังพออนุมานได้อีกทางว่า จากพระนิสัยไม่ทรงชอบอาบน้ำ อันสืบเนื่องมาจากความกลัวการลงแช่ในน้ำจากความเชื่อว่าการลงแช่อาบน้ำร้อนเป็นภัยต่อร่างกายและทำให้ประสาทเสื่อม ทั้งในศตวรรษที่ 16-17 ราคาน้ำใช้สูงขึ้นมาก การอาบการแช่น้ำยุติลง พร้อมการระบาดของกาฬโรค โดยครั้งที่รุนแรงที่สุดสำหรับยุโรปทั้งทวีป เกิดขึ้นในปี 1346-1353 หยุดชะงักไปแล้วกลับระบาดขึ้นใหม่อีกในศตวรรษที่ 16 และ 17 บวกกับเมื่อทรงแก้ปัญหาขับถ่ายได้แล้วด้วยเก้าอี้นั่งอุจจาระ จึงไม่ทรงเห็นความจำเป็นของห้องน้ำ


ที่มา :: http://www.giggog.com/education/cat7/news6230/

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เคล็ดลับ หลับสบาย

9 Checks, Are You A Sleepless Society?
ลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่าวันนี้คุณมีอาการเข้าใกล้วงจรนอนไม่หลับแค่ไหน...คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า

• หลับตานานแล้ว แต่สมองยังไม่หยุดคิด
• มักรู้สึกตัวระหว่างนอนหลับเป็นระยะๆ
• ระหว่างหลับรู้สึกว่าสมองยังคิดและกังวล
• ไม่อยากตื่นทั้งที่รู้สึกว่านอนมานานแล้ว
• ความคิดตื้อตันไม่ทันใจ
• ง่วงนอนระหว่างวัน
• รู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ
• ปวดหัว และอ่อนเพลียง่าย
• ตื่นด้วยความงัวเงียไม่แจ่มใส แม้จะอาบน้ำและแปรงฟัน

10 Ways to Sleep Well
ใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ 10 คำแนะนำเหล่านี้ 1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย
2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก
3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า
4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน
5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้
6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง
7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน
8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น
9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว
10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว สมองคืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อถูกนำมาใช้ในเวลาที่แจ่มใสที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่งต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อมถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเต็มล้า

ที่มา kapook.com

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Expressions Françaises et Thaï

LE NEZ - จมูก
-avoir du nez
ou จมูกไว หรือ หูผีจมูกมด
-avoir le nez fin (รู้เรื่องก่อนผู้อื่น)
ou
-avoir le nez creux
-avoir quelqu'un dans le nez เหม็นขี้หน้า
-se casser le nez เสียหน้า
-fermer la porte au nez de quelqu'un ปิดประตูใส่หน้า (ไม่ต้อนรับ)
-mettre le nez dehors โผล่หัว (sortir)
-montrer le bout du nez แบไต๋(เผยความในใจ)
-regarder quelqu'un sous le nez จ้องหน้า
-se trouver nez a nez avec quelqu'un เจอกันจังๆหน้า

ที่มา : หนังสือ สำนวนฝรั่งเศสและสำนวนไทย Expressions Françaises et Thaï

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2551

5อย่า เมื่อคุณจะนอน

อย่าที่ 1 คือ อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ ก็เพราะขณะที่นาฬิกาเจ้ากรรมทำงานไปเรื่อยๆ นั้น เจ้านาฬิกาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย
อย่าที่ 2 นี่ สำหรับพวกชอบคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับโดยเฉพาะเลย ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ใกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง
อย่าที่ 3 ง่ายๆ สั้นๆ คือ อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ
อย่าที่ 4 (สำหรับสาวๆ เท่านั้น) คือ อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า
อย่าที่ 5 อันนี้เหมาะกับทุกเพศเลยนะ “อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น” เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย …อันนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะ อิอิ ^*^

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Among และ Between ใช้แตกต่างกันอย่างไร?

สองคำนี้เป็นอีกหนึ่งคู่ของคำศัพท์ที่มีคนสับสนและใช้ไม่ถูกต้องบ่อยครั้งหากเราต้องการสรุปหลักการใช้จะได้ดังนี้

Guideline
Between (...and) prep.,adv.ระหว่าง,ในระหว่างจะใช้เมื่อเราเปรียบเทียบคนหรือสิ่งของ 2 อย่าง
Among = prep. ในระหว่าง, ในหมู่, ในจำพวกจะใช้เมื่อเราเปรียบเทียบคนหรือสิ่งของตั้งแต่ 3 อย่างขึ้นไป


ดังนั้น 2 อย่างใช้ between และ 3 อย่างขึ้นไปใช้ among เรามาดูตัวอย่างการใช้กัน

Jesse and Frank were hoping to divide the money between the two of them (ถูกต้องแล้วเพราะมีสองคนคือ Jesse กับ Frank), but Billy and Cole wanted the money to be distributed among all the people (ถูกต้องเพราะมีอย่างน้อยๆ ก็ 4 คนที่จะต้องแบ่งผลประโยชน์กันนะครับ) who took part in the project


ที่มา http://www.toeflthailand.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=578539&Ntype=7

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

สนธิสัญญาแวร์ซายส์

เป็นสนธิสัญญาสันติภาพ ที่ทำขึ้น เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 ณ พระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส หลังเยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 สนธิสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังช่วงเวลาหกเดือนแห่งการเจรจาสันตืภาพที่กรุงปารีส และสิ้นสุดลงที่การทำสนธิสัญญา ผลจากสนธิสัญญาดังกล่าวได้กำหนดให้จักรวรรดิเยอรมนีเดิมและพันธมิตรฝ่ายมหาอำนาจกลางต้องรับผิดชอบต่อเสียหายทั้งหมดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และในข้อตกลงมาตรา 231-248 ได้ทำการปลดอาวุธ เกิดการลดดินแดนของผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รวมไปถึงต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนเงินมหาศาล แต่สนธิสัญญาดังกล่าวถูกบ่อนทำลายด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังปี 1922 จนกระทั่งร้ายแรงขึ้นเมื่อทศวรรษ 1930





การเจรจา
พระราชวังแวร์ซายส์ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ลงนามสนธิสัญญาแวร์ซายส์
การเจรจาระหว่างฝ่ายพันธมิตรเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม 1919 ในอาคาร Salle de l'Horloge ของกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส โดยเริ่มจากการประชุมของคณะผู้แทน 70 คนจาก 26 ประเทศมีส่วนร่วมในการประชุม ส่วนเยอรมนี ออสเตรียและฮังการีผู้แพ้สงครามถูกยกเว้นไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม สหภาพโซเวียตก็ถูกห้ามมิให้เข้าประชุมด้วย เนื่องจากได้ทำสนธิสัญญาแยกต่างหากกับเยอรมนีแล้วในปี 1917 (สนธิสัญญาเบรสท์-ลีโตเวส)

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ข้อควรรู้เมื่อเกิดแผ่นดินไหว


ก่อนการเกิดแผ่นดินไหว


1. ควรมีไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉายและกระเป๋ายาเตรียมไว้ในบ้าน และให้ทุกคนทราบว่าอยู่ที่ไหน

2. ศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

3. ควรมีเครื่องมือดับเพลิงไว้ในบ้าน เช่น เครื่องดับเพลิง ถุงทราย เป็นต้น

4. ควรทราบตำแหน่งของวาล์วปิดน้ำวาล์วปิดก๊าซ สะพานไฟฟ้า สำหรับตัดกระแสไฟฟ้า

5. อย่าวางสิ่งของหนักบนชั้น หรือหิ้งสูงๆเมื่อแผ่นดินไหวอาจตกลงมาเป็นอันตรายได้

6. ผูกเครื่องใช้หนักๆ ให้แน่นกับพื้นผนังบ้าน

7. ควรมีการวางแผนเรื่องจุดนัดหมายในกรณีที่ต้องพลัดพรากจากกัน เพื่อมารวมกันอีกครั้งในภายหลัง

8. สร้างอาคารบ้านเรือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว


ระหว่างเกิดแผ่นดินไหว

1. อย่าตื่นตกใจ พยายามควบคุมสติอยู่อย่างสงบถ้าท่านอยู่ในบ้านก็ให้อยู่ในบ้าน ถ้าท่านอยู่นอกบ้านก็ให้อยู่นอกบ้านเพราะส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเพราะวิ่งเข้าออกจากบ้าน

2. ถ้าอยู่ในบ้านให้ยืนหรือหมอบอยู่ในส่วนของบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรง ที่สามารถรับน้ำหนักได้มากและให้อยู่ห่างจากประตู ระเบียง และหน้าต่าง

3. หากอยู่ในอาคารสูงควรตั้งสติให้มั่น และรีบออกจากอาคารโดยเร็ว หนีให้ห่างจากสิ่งที่จะล้มทับได้ 4. ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างจากเสาไฟฟ้าและสิ่งห้อยแขวนต่างๆ ที่ปลอดภัยภายนอกคือที่โล่งแจ้ง

5. อย่าใช้ เทียน ไม้ขีดไฟ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดเปลวหรือประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น

6. ถ้าท่านกำลังขับรถให้หยุดรถและอยู่ภายในรถ จนกระทั่งการสั่นสะเทือนจะหยุด

7. ห้ามใช้ลิฟท์โดยเด็ดขาดขณะเกิดแผ่นดินไหว

8. หากอยู่ชายหาดให้อยู่ห่างจากชายฝั่งเพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง


หลังเกิดแผ่นดินไหว

1. ควรตรวจตัวเองและคนข้างเคียงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ให้ทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อน

2. ควรรีบออกจากอาคารที่เสียหายทันทีเพราะหากเกิดแผ่นดินไหวตามมาอาคารอาจพังทลายได้

3. ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอ เพราะอาจมีเศษแก้วหรือวัสดุแหลมคมอื่นๆ และสิ่งหักพังแทง

4. ตรวจสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแก๊ส ถ้าแก๊สรั่วให้ปิดวาล์วถังแก๊ส ยกสะพานไฟ อย่าจุดไม้ขีดไฟ หรือก่อไฟจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีแก๊สรั่ว

5. ตรวจสอบว่าแก๊สรั่วด้วยการดมกลิ่นเท่านั้นถ้าได้กลิ่นให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน

6. ให้ออกจากบริเวณที่สายไฟขาด และวัสดุสายไฟพาดถึง

7. เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน อย่าใช้โทรศัพท์ นอกจากจำเป็นจริงๆ

8. สำรวจดูความเสียหายของท่อส้วมและท่อน้ำทิ้งก่อนใช้

9. อย่าเป็นไทยมุงหรือเข้าไปในเขตที่มีความเสียหายสูง หรืออาคารพัง

10. อย่าแพร่ข่าวลือ


วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ยังจำ "เพื่อนวัยเด็ก" ของเราได้ไหม มานี มานะ ปิติ ชู

ความสนุกสนาน ที่มีอยู่ในโลกอันไร้ขอบเขตแห่งจินตนาการ ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่ไม่ต้องอาศัยการปั้นแต่ง สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดกลายมาเป็น "ความทรงจำ" อันแสนสุขที่เดินทางแวะเวียนมาให้รางวัลกับเราทุกครั้งเมื่อยามคิดถึงวันเวลาในอดีต มานะ มานี ปิติ ชูใจ ตำนานเด็กดี
"นี่ชูใจนะโต ชูใจจะเป็นเพื่อนมานี เป็นเพื่อนโต สีเทาแมวของฉันก็จะเป็นเพื่อนโตด้วย"
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงที่เปรียบเหมือนเป็นเพื่อนวัยเด็กของพวกเรา มาพร้อม ๆ กับความรู้สึกผูกพันอ่อนหวานกับมิตรภาพอันบริสุทธิ์ของพวกเขา
มานะ มานี ปิติ ชูใจ เพชร จันทร เจ้าโต สีเทา และเจ้าแก่ เดินทางกลับมาย้ำเตือนความทรงจำวัยเยาว์ของเรา ผ่านเรื่องราวที่ อาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ ผู้แต่งบทเรียนภาษาไทยในครั้งก่อน ได้บรรจงร้อยเรียงเรื่องราวของเด็ก ๆ ให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง
นับจากเดือนตุลาคม พ.ศ. 2545 "ทางช้างเผือก" ได้ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสารอะเดย์เป็นจำนวนทั้งหมด 12 ตอน เริ่มตั้งแต่วันพบกันครั้งแรกของผองเพื่อนวัยเด็ก ผู้เขียนได้สร้างให้เรื่องราวดำเนินไปพร้อม ๆ กับวันเวลาที่ไม่เคยหยุดยั้ง เรื่องราวมากมายที่เข้ามาสั่งสมประสบการณ์ให้เด็กน้อยได้เรียนรู้ จวบจนกระทั่ง ตอนอวสาน... ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาพบกันอีกครั้ง
"จริง ๆ แล้ว ตอนสมัยเป็นแบบเรียนภาษาไทย เรื่องนี้ไม่มีชื่อ แต่ว่าก็มีคนเคยเรียกเล่น ๆ ว่าเรื่องนี้เป็น ตำนานเด็กดี..." อาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ ผู้เขียนแบบเรียนชุดมานะ มานี เล่าความทรงจำครั้งที่ได้เริ่มต้นเขียนแบบเรียนภาษาไทยให้เด็กไทยนับล้านคนได้สัมผัสกับเรื่องราวอันน่าประทับใจ
อาจารย์เล่าว่า สาเหตุที่มีคนเรียกว่าตำนานเด็กดีคงเป็นเพราะเรื่องนี้มีแต่เด็กดี มีแต่เด็กน่ารัก ซึ่งนี่คือความตั้งใจของอาจารย์ ที่อยากให้เด็ก ๆ ได้เริ่มต้นเรียนรู้ในสิ่งที่ดี "เริ่มต้นที่ได้เขียนเรื่องนี้ เป็นเพราะตอนนั้นกระทรวงศึกษาธิการต้องการเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ แบบเรียนภาษาไทยชุดเก่าโบราณเกินไป โดยเงื่อนไขข้อแรกของแบบเรียนชุดนี้คือ ต้องอ่านสนุก เด็ก ๆ ต้องติดใจและอยากเรียนภาษาไทย" อาจารย์รัชนีกล่าว
แบบเรียนปีแล้วปีเล่าได้ถูกร้อยเรียงผ่านตัวละครตัวน้อย ซึ่งกว่าจะไปปรากฏเป็นเรื่องราวอยู่บนหนังสือเล่มที่พวกเราได้อ่านนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
อาจารย์รัชนีเล่าว่า แบบเรียนภาษาไทยชุดนี้ เมื่อเขียนเสร็จครั้งแรกก็ต้องนำไปผ่านการปรับปรุงและทดลองใช้จนกว่าจะแน่ใจว่าเรื่องราวที่จะออกไปสู่สายตาเด็กนับล้านคนทั่วประเทศ เป็นเรื่องที่ดี บริสุทธิ์ ไม่เป็นพิษเป็นภัย
"เด็กแต่ละชั้นก็จะได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ได้เรียนรู้ถึงสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่นเมื่อถึงเวลาที่หลักสูตรภาษาไทยกำหนดมาว่าจะต้องให้เด็กรู้จัก ความหมายของคำว่าตาย ครูก็ต้องมานั่งคิดแล้วคิดอีกว่าจะให้ใครตายดี ถ้าเป็นคนก็จะทำร้ายจิตใจเด็กเกินไป ก็เลยสรุปกลายเป็นเจ้าแก่ ม้าของปิติตาย เพราะมันแก่แล้ว ซึ่งขนาดเขียนให้ม้าตาย ครูยังโดนเด็ก ๆ ร้องห่มร้องให้ต่อว่า ว่าทำไมต้องให้เจ้าแก่ตาย พวกเขาสงสารมัน" อาจารย์รัชนีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
สำหรับอาจารย์รัชนีแล้วเสน่ห์ของตัวละครเหล่านี้ที่ทำให้คนนับล้านตกหลุมรักก็คือ "พวกเขามีความเป็นเด็ก มีความบริสุทธิ์แจ่มใส ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจให้ใครต่อใครได้รักตัวละคร เหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัว"


อาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ ผู้เขียนแบบเรียนภาษาไทยชุดมานะ มานี ปิติ ชูใจ





บทความคัดลอกจาก http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?p=27911




วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Festival De Cannes : Du 14 au 25 mai 2008

A Propos du Festival

En me nommant Délégué Général au mois d’août 2007, le Président Gilles Jacob et le Conseil d’Administration du Festival de Cannes ont souhaité projeter Cannes dans le futur. Après le soixantième anniversaire qui a marqué l’édition 2007, un nouveau cycle s’ouvre sur la Croisette.

Un cycle naturel d’abord, parce qu’une nouvelle scansion commence qui nous mènera jusqu’au 70e anniversaire en 2017. Un cycle symbolique aussi, parce qu’une question nous brûle les lèvres et les yeux : à quoi le Festival de Cannes ressemblera-t-il dans dix ans ? Nul ne le sait encore – surtout pas nous ! – et pourtant, il nous faut anticiper cet avenir, le deviner, l’encourager.

Parce que le cinéma lui-même bouge constamment ses lignes, parce que le monde dont il est le reflet reste plus insaisissable que jamais, le Festival ne se refermera pas sur le prestige de son nom, si réaffirmé soit-il. Ce prestige est dû avant tout à la qualité des œuvres, à la créativité des artistes, à la combativité des professionnels et à l’enthousiasme de la presse.


Cannes est un bien collectif que chacun, là où il se trouve et à sa manière, construit pierre à pierre, année après année. C’est en ne cessant jamais de l’interroger, d’en déplacer la fonction et d’en susciter le commentaire, qu’on lui rendra le meilleur service. Solidement ancré dans son histoire, Cannes se veut accueillant envers la nouveauté. Ce qui ne lui ressemble pas l’enrichit : c’est pourquoi ce festival est notre festival.


La Photo du jour



วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

การจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก 2008

Webometrics ซึ่งเป็นสถาบันวัดความสามารถในการผลิตผลงานทางวิชาการที่เผยแพร่บนอินเตอร์เน็ตและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในเว็ปไซต์ของมหาวิทยาลัยทั่วโลก ได้เลื่อนอันดับการเป็น "มหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-university" ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากที่อยู่ในอันดับ 3 ของประเทศในเดือนกรกฎาคม 2550 มาอยู่ในอันดับ 1 ของประเทศในเดือนมกราคม 2551 (และเคยอยู่ในอันดับ 6 ของประเทศไทยในเดือนมกราคม 2550 ) และเมื่อเปรียบเทียบกันในระดับนานาชาติแล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 19 ของเอเชีย (เลื่อนขึ้นจากอันดับที่ 50)
โดยมี University of Tokyo อยู่ในอันดับหนึ่ง และ อยู่ในอันดับที่ 309 ของโลก
โดย มี Massachusettes Institute of Technology อยู่ในอันดับหนึ่งhttp://www.webometrics.info/top100_continent.asp?cont=asia


อันดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย

1.PRINCE OF SONGKLA UNIVERSITY [19 ของเอเชีย] [309 ของโลก]2.CHULALONGKORN UNIVERSITY [27 ของเอเชีย] [443 ของโลก]
3.KASETSART UNIVERSITY [31 ของเอเชีย] [477 ของโลก]
4.ASIAN INSTITUTE OF TECHNOLOGY THAILAND [56 ของเอเชีย] [707 ของโลก]5.MAHIDOL UNIVERSITY [68 ของเอเชีย] [802 ของโลก]
6.THAMMASAT UNIVERSITY [69 ของเอเชีย] [806 ของโลก]
7.CHIANG MAI UNIVERSITY [75 ของเอเชีย] [841 ของโลก]
8.ASSUMPTION UNIVERSITY OF THAILAND [79 ของเอเชีย] [862 ของโลก]
9.KHON KAEN UNIVERSITY [82 ของเอเชีย] [883 ของโลก]

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

แบงค์ห้าแสนของไทย


ภาพประธานด้านหน้า พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงฉลองพระองค์ ลำลอง คู่กับพระฉายาสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระมาลา รวมทั้งอัญเชิญตราอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. พิมพ์คู่กับตราอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. โดยมีภาพพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพิธีสถาปนา สมเด็จพระบรมราชินี ณ พระที่นั่ง ไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 พระครุฑพ่าห์ และลาย ช่อกนก เป็นภาพประกอบ

ภาพประธานด้านหลัง พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และพระฉายา สาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และมีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คู่กับพระฉายาสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้งยังเป็นพระคู่หมั้น ภาพพระตำหนัก เปี่ยมสุข พระราชวังไกลกังวล พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระราชโอรส และพระราชธิดา และพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขณะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ


ลายน้ำ พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัว คู่กับพระฉายาสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และลายน้ำเลขไทย 500000 ซึ่งมีความโปร่งแสง เป็นพิเศษ มองเห็นได้ชัดเจนทั้งสองด้าน เมื่อยกธนบัตรขึ้นส่องดูกับแสงสว่าง


เส้นใย ในเนื้อกระดาษฝังเส้นใยสีโลหะซ่อนไว้ตามแนวยืนของธนบัตร ภายในเส้นใยสี โลหะมีตัวอักษรไทยคำว่า "ทรงพระเจริญ" ขนาดเล็กเรียงเป็นระยะอยู่สองแถว สามารถอ่าน ได้ทั้งสองด้านเมื่อยกธนบัตรขึ้นส่องดูกับแสงสว่าง และจะเห็นเรืองแสงเป็นสีเหลืองและ สีน้ำเงินภายใต้รังสีเหนือม่วง


ขนาด กว้าง 126 มิลลิเมตร ยาว 205 มิลลิเมตร


สีกระดาษ สีเหลืองอ่อน


ลักษณะพิเศษ มุมบนขวาด้านหน้าของธนบัตร ผนึกฟอยล์สีทองพระบรมฉายาสาทิส-ลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซ้อนกับพระฉายาสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ รอบฟอยล์สีทองมีแถวตัวเลขอารบิก "500000" ขนาดเล็กเรียงติดต่อกันอ่านได้ชัดเจนโดยใช้แว่นขยาย ทั้งหมดล้อมรอบด้วยลายเส้นโค้งสีส้ม สีน้ำตาลอ่อน สีเขียวอ่อน สีฟ้าและสีเหลือง มุมบนซ้ายด้านหน้า มีตัวเลขอารบิกขนาดใหญ่บอกราคา "500000" พิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์พิเศษ


ลักษณะพิเศษที่ปรากฏภายใต้รังสีเหนือม่วง (แบล็กไลท์) ในเนื้อกระดาษโรยเส้นใยเรืองแสงเป็นแถบตามแนวยืนของธนบัตร ซึ่งมองไม่เห็นด้วยแสงธรรมชาติ แต่จะเห็นเรืองแสงเป็นสีเหลืองและ สีน้ำเงินภายใต้รังสีเหนือม่วง


วันประกาศออกใช้ นำออกใช้ วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2543


ข้อมูลและภาพประกอบจาก

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ilil~~ilil

Amel bent :A 20 ans lyric





J'ai 20 ans,

J'ai la vie dont tout le monde rêve,

sous le feu des projecteurs

toujours le sourire aux lèvres


J'ai 20 ans,

Dans un monde où l'amour crève,

je m'accroche à mes valeurs sans jamais demander de trève

J'aurai toujours 20 ans,

Dans les yeux de ma mère,

ma mèreChacune de ses larmes me pousse à la rendre fière, ma mère


(Diam's) J'ai 20 ans,

et j'ai la vie dont tout le monde parle,

petit bout de femme je suis venue rapper ma flamme,

mes 20 ans, moi,

je les ai vécus dans l'ombre avec pour seule envie l'amour et puis de dévorer le monde,

mais je n'aurai jamais 20 ans dans les yeux de mon père, mon père,

chacune de ses absences me pousse à la rendre fière, ma mère


Refrain :

J'ai 20 ans,

Ils disent que j'ai la vie devant moi

Que le bonheur est là-bas

Qu'avec le temps va tout s'en va

J'ai 20 ansIls disent tu grandiras et tu verras

Je vous le dit rien ne va, avec le temps va tout va mal


A 20 ans,

Tu te mets à aimer les hommes,

Jusqu'au jour où ils te volent tes 20 ans

Malgré le temps qui te cogne

Toi tu donnes et tu donnes tes 20 ans

A la vie et à la mort

Si ça peut prouver qu'ils ont tort

Qu'ils ont tort de croire qu'à 20 ans

Tous les jeunes rêvent encore


(Diam's) A 20 ans, tu te mets à aimer la vie c'est l'âge libre t'as du vice devant les risquest'esquives,

t'as 20 ans et t'as la force des vainqueurset

puis rien ne te fait peur car on t'a déjà crevé le coeur,

t'as la vingtaine et t'es perdu sur la planète,

tu rêves d'Adam et Eve pas que de strass et paillettes,

t'as 20 ans t'es fragile mais t'es l'avenir de ce pays,

tu sais ta vie c'est celle d'Amel et MelanieRefrain

Hier encore,j'avais 20 ans,

Hier encore, je voulais bouleverser les gens remarquer mon temps

Hier encore, j'avais 20 ans,

Hier encore, je voulais bouleverser les gens remarquer mon temps


Refrain (X2)


OoOh 20 ans...

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551

คำที่คนไทยมักเขียนผิด

สังเกต แปลว่า กำหนดไว้ หมายไว้ ดูอย่างถ้วนถี่มักเขียนผิดเป็นคำว่า "สังเกตุ" นี่ก็ผิดเยอะพอๆกับคำว่า "อนุญาต" คงติดมาจากคำว่า "สาเหตุ" ล่ะมั้ง?

ออฟฟิศ แปลว่า สำนักงาน ที่ทำการมักเขียนผิดเป็นคำว่า "ออฟฟิส" ไม่ก็ "ออฟฟิต" คำนี้มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "office" แต่พอมาเป็นภาษาไทยอุตส่าห์ใช้ตัวอักษร "ศ" ให้เท่ๆแล้วเชียว แต่ทำไมกลับสู่สามัญเป็น "ส" ล่ะ หรือไม่ก็เอาคำว่า "ฟิตเนส" มาปนมั่วไปหมด

อุตส่าห์ แปลว่า บากบั่น ขยัน อดทนมักเขียนผิดเป็นคำว่า "อุดส่า" คำนี้พบไม่บ่อยมากนัก แต่บางคนสะกดด้วย ต เต่า ถูกแล้วแต่ลืมใส่ บการันต์(ห์)

โคตร แปลว่า วงศ์สกุล เผ่าพันธุ์ ต้นตระกูลมักเขียนผิดเป็นคำว่า "โครต" คำยอดฮิตของวัยรุ่น ไม่รู้เพราะสับสนกับคำว่า "เปรต" หรือเพราะในเกมออนไลน์บางเกมมันเซ็นเซอร์คำนี้ก็ไม่รู้ เลยดัดแปลงคำซะเลยจะได้พิมพ์ได้ แล้วก็ติดตามาเป็น "โครต" ในปัจจุบัน

ค่ะ แปลว่า คำรับที่ผู้หญิงใช้มักเขียนผิดเป็นคำว่า "คะ" คำนี้ไม่ได้เขียนผิดอะไรหรอก แต่ใช้เสียงสูงเสียงต่ำผิด ถ้าจะพูดให้เสียงยาวก็เป็น "คะ" ใช้ต่อท้ายประโยคคำถาม แต่บางทีก็ใช้ "ค่ะ" ยัดลงไปเลย
เว็บไซต์ แปลว่า (ไม่รู้อ่ะ แต่มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "web" แปลว่า ใยแมงมุม ตาข่าย และ "site" แปลว่า กำหนดสถานที่ตั้ง ตั้งอยู่)มักเขียนผิดเป็นคำว่า "เวปไซด์" คำว่า "เวป" อาจติดมาจาก "WAP" ซึ่งแปลว่าอะไรผมก็ไม่รู้ -*- แต่คำว่า "ไซด์" ที่เขียนผิดอาจมาจากคำว่า "side" ที่แปลว่า ด้านข้าง เห็นด้วย (เกี่ยวอะไรกัน?)

โอกาส แปลว่า ช่อง จังหวะ เวลาที่เหมาะมักเขียนผิดเป็นคำว่า "โอกาศ" สงสัยติดมาจากคำว่า "อากาศ"

เกม แปลว่า การแข่งขัน การละเล่นเพื่อนความสนุก ลักษณะนามเรียกการแข่งขันจบลงคราวหนึ่งๆมักเขียนผิดเป็นคำว่า "เกมส์" อันนี้เราไม่แน่ใจนะ แต่ถ้าจะให้มีความหมายในภาษาไทยต้องใช้ "เกม" เพราะมันมาจากคำว่า "game" ในภาษาอังกฤษ

ไหมแปลว่า ชื่อแมลงชนิดหนึ่งมีใยใช้ทอผ้า เป็นคำถามมักเขียนผิดเป็นคำว่า "มั้ย" ที่เปลี่ยนไปอาจเป็นเพราะเพื่อให้เสียงสูงขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า ไม้ มันจะกลายเป็นอีกคำ ถ้าใช้ ไม๊ นี่อ่านไม่ออกเลย -*-

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Magha Puja

Magha Puja is an important religious festival celebrated by Thai Buddhists on the full moon day of the third lunar month (this usually falls in February)
It is a public holiday in Thailand - and is an occasion when Buddhists tend to go to the temple to perform merit-making activities.


Celebration of Magha Puja Day

In the evening, each temple in Thailand holds a candle procession whereby the monks and congregation members circumambulate the main chapel or pagoda in the temple in homage to the Lord Buddha.

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เคล็ดลับเรียนเก่ง

1. คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ. เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ. เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ. ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ.

2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ ครับ.เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ. แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ.

3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรครับ. อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที และพัก 5- 10 นาที

4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับ. สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร

5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ด ีให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ.

6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ. เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ. เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า where do you go .? อะไรเป็นต้น แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ

7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ. ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ. แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ. จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด . สำคัญคือความตั้งใจนะครับ. ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วครับ. ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ. จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ
.

8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ.

ดังนั้น จากข้อ 7.เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง โดยทำดังต่อไปนี้ครับ. - ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์นึกนะครับ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่ คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะครับ. ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์

9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อย คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ. ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่ พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ. ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด


เนื้อหาจาก www.mathcenter.net

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ใครว่าเรื่องนี้ มศว ไม่ยุทติธรรมบ้าง ??


น.ส.จรินทร์พร จุนเกียรติ(เต้ย) ดาราวัยรุ่นชื่อดัง
ใครที่ผ่านข้อเขียน คณะศิลปกรรมศาตร์สาขาการแสดงฯ มศว

คงจะได้เข้าไปดูรายชื่อของคนที่ผ่านกันใช่มั้ย ?ซึ่งความจิงแล้วคนที่ผ่านข้อเขียน มี 147

คนซึ่งเราอะผ่านข้อเขียนมา แล้วเราก้อได้ดูรายชื่อของคนที่ผ่านทั้งหมด 147 คน

แล้วเราก้อได้ยินมาว่า เต้ย(จรินทร์พร)อะไปสอบ

เราก้อเลยลองใส่ชื่อเต้ยดูปรากดว่าเต้ยไม่ผ่านข้อเขียน เราก้อไม่แน่ใจ

เราเลยไปดูรายชื่อรวม 147 คนไล่ดูทุกชื่อ ก้อไม่มีชื่อเต้ย

แล้วพอมาวันนี้ มศว ประกาดคนผ่านสัมพาด

ซึ่งเราไม่ติด เราก้อไม่ได้เคีรยดไรหรอกนะแต่พอมาดูรายชื่อคนที่ผ่านสัมพาด

ดันมีชื่อ เต้ย จรินทร์พร จุนเกรียรติ ( อ้าว )มาได้ไงงะ ชื่อนี้

เต้ยไม่ผ่านสอบข้อเขียนไม่ช่ายหรอ แล้วไหงมีชื่อเต้ยขึ้นมาว่าผ่านสัมพาดอะอ้าว งงเลย !!!!!

แบบว่า ..... ไม่ผ่านข้อเขียน แล้ว เต้ยผ่านสอบสัมพาดได้ไงคราวนี้

เพื่อนเราก้อเลยกลับไปดู รายชื่อคนที่ผ่านข้อเขียนอันเดิม(ที่ไม่มีชื่อเต้ย)ซึ่งความเปนจริงแล้วมีคนผ่านข้อเขียน 147 คน

แล้วพอมาดูอีกทีวันนี้เมื่อกี๊ กลับมีคนผ่านเพิ่ม มาเปน 151 คน

ซึ่งกลายเปนว่ามีชื่อเต้ยเพิ่มเข้ามาด้วยแล้วแบบนี้มันหมายความว่าไง

แล้วอีก 3 คนที่เพิ่มเข้ามางะ คืออะไรแบบนี้เค้าเรียกว่าเส้นช่ายปะ ?

คือไม่ได้ติดใจอะไร ที่เราไม่ติดอะ แต่ มศว และเหล่าคนเส้นเนี่ย

ไม่น่าทำแบบนี้นะคะมันเสียความรุ้สึกของคนที่เค้าอยากจะสอบ

อยากจะเรียนอะเหอะ ๆๆๆอะนะ เสียความรู้สึกมาก
ไม่ยุทติธรรมเลยจริงๆ -_-

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2551

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551

โอ-เน็ต

โอ-เน็ต (O-NET), เอ-เน็ต (A-NET), และ บี-เน็ต (B-NET) คือรูปแบบมาตรฐานการทดสอบความรู้ในระดับต่างๆ ของนักเรียนที่ดำเนินการโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรมหาชนและใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “National Institute of Educational Testing Service”

ระดับและวัตถุประสงค์ของการสอบ
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ได้กำหนดมาตรฐานการทดสอบทางการศึกษาออกเป็น 3 ระดับ ตามวัตถุประสงค์ดังนี้

โอ-เน็ต (O-NET)
การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (Ordinary National Education Testing) หรือที่เรียกว่า O-NET เป็นการสอบความรู้รวบยอดปลายช่วงชั้น (6 ภาคเรียน) ของชั้น ป. 3 ม. 3 และ ม. 6 ตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 โดยทำการทดสอบความรู้ในกลุ่มสาระต่างๆ รวม 8 กลุ่ม
ผู้มีสิทธิ์สอบ ผู้กำลังจะจบชั้น ป. 3, ป. 6, ม. 3 และ ม. 6 เป็นการสอบออก
ช่วงเวลาสอบและจำนวนครั้งการสอบ เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม ของทุกปี เป็นการสอบประจำปีอย่างถาวรตลอดไปและเป็นการสอบเพียง 1 ครั้งสำหรับผู้กำลังจะจบช่วงชั้นเท่านั้น
วิธีการสอบและค่าใช้จ่าย ผู้เป็นนักเรียนปกติไม่ต้องสมัครสอบ แต่นักเรียนเทียบเท่าต้องสมัครสอบ ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายในการสอบ
ผู้จัดสอบ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)

เอ-เน็ต (A-NET)
การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (Advance National Education Testing) หรือที่เรียกว่า A-NET ย่อมาจากชื่อภาษาอังกฤษว่า “” เป็นการสอบความรู้ขั้นสูง (6 ภาคเรียน) ทดสอบเฉพาะนักเรียนชั้น ม. 6 ที่ประสงค์จะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐในระบบรับร่วมและรับกลาง จำนวนวิชาสอบ 11 วิชา
ผู้มีสิทธิ์สอบ ผู้กำลังเรียนหรือผู้จบชั้น ม. 6 ปกติหรือเทียบเท่าไปแล้ว
ช่วงเวลาสอบและจำนวนครั้งการสอบ การทดสอบแบบนี้จะมีเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้นคือเดือนมีนาคม ของทุกปี และสามารถเก็บคะแนนที่สอบไว้ได้ 2 ปี โดยใช้คะแนนที่ดีที่สุด การสอบจะมีเฉพาะช่วงรอยต่อของระบบเก่าและใหม่คือระหว่างช่วง พ.ศ. 2549 -2552 เท่านั้น
วิธีการสอบและค่าใช้จ่าย ผู้เข้าทดสอบต้องสมัครสอบและเสียค่าใช้จ่ายในการสอบวิชาละ 100 บาท
ผู้จัดสอบ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

บี-เน็ต (B-NET)
B-NET ย่อมาจากชื่อภาษาอังกฤษว่า “Basic National Education Testing” เป็นการสอบความรู้ขั้นสูง (5 ภาคเรียน) เฉพาะนักเรียน ม. 6 ที่จะเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐในระบบรับตรง ระบบโควต้า และระบบพิเศษ โดยมีวิชาสอบ 5 วิชา
ผู้มีสิทธิ์สอบ ผู้กำลังเรียนหรือผู้จบชั้น ม. 6 ปกติหรือเทียบเท่าไปแล้ว
ช่วงเวลาสอบและจำนวนครั้งการสอบ การทดสอบแบบนี้จะเริ่มมีการสอบครั้งแรกในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 สำหรับมหาวิทยาลัยนเรศวรและบางโครงการของจุฬาลงกาสรณ์มหาวิทยาลัย สามารถเก็บคะแนนที่สอบไว้ได้ 2 ปี
วิธีการสอบและค่าใช้จ่าย ผู้เข้าทดสอบต้องสมัครสอบ และเสียค่าใช้จ่ายในการสอบวิชาละ 100 บาท
ผู้จัดสอบ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้การสอบ โอ-เน็ต (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ได้แบ่งกลุ่มสาระและมาตรฐานการเรียนรู้การสอบออกของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ไว้ 8 กลุ่มสาระ ได้แก่ 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3) วิทยาศาสตร์ 4) สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 5) สุขศึกษาและพลศึกษา 6) ศิลปะ 7) การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8) ภาษาต่างประเทศ โดยในแต่ละกลุ่มสาระจะมีมาตรฐานไว้ชัดเจน

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2551

Café


Le mot café désigne les graines du caféier,unarbuste du genre Coffea, et une boisson psychoactive obtenue à partir de ces graines. Il désigne aussi son lieu de consommation, le café ou bar ou bistro.
La culture du café est très développée dans de nombreux pays tropicaux, dans des plantations qui cultivent pour les marchés d'exportation. Le café est une des principales denrées d'origine agricole échangées sur les marchés internationaux, et souvent une contribution majeure aux exportations des régions productrices.





วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

Kate Chopin

Kate Chopin (née Kate O'Flaherty à Saint-Louis (Missouri) le 8 février 1850, décédée à Saint-Louis le 22 août 1904) est une écrivaine américaine. Elle est l'auteur de nombreuses nouvelles et de deux romans connus pour leur ambiance teintée de culture créole, mais son œuvre est surtout réputée pour être annonciatrice des auteurs féministes du XXe siècle.

Carrière d'écrivain

A la fin des année 1890, Kate écrivait des nouvelles, des articles et des traductions des œuvres de Alphonse Daudet et Guy de Maupassant publiés dans des magazines, notamment le Saint Louis Dispatch. Elle était alors classée dans les écrivains régionalistes, mais les qualités littéraires de son œuvre n'était pas reconnues.
En 1899 paru son second roman,
L'éveil. Dès sa sortie, il fut critiqué pour son atteinte aux interdits moraux de l'époque concernant la sexualité féminine et ne fut plus réédité pendant plusieurs décennies. Il est aujourd'hui reconnu comme un roman précurseur des œuvres féministes du XXe siècle. L'éveil est parfois considéré comme le Madame Bovary américain. Il est connu du public français pour avoir été publié sous le titre Edna (du nom de l'héroïne principale) et dans une traduction de Cyrille Arnavon par le Club bibliophile de France au début des années 1950.
Kate fut découragée par l'accueil de son roman et se contenta par la suite d'écrire des nouvelles. En 1900, elle écrivit la nouvelle The Gentleman from New Orleans et son nom apparaît la même année dans la première édition du Marquis Who's Who. Malgré le succès de ses nouvelles, elle n'a jamais pu vivre de son art et tirait ses revenus de rentes d'investissements faits en Louisiane et à Saint-Louis.
Elle mourut en 1904 à l'âge de 54 ans des suites d'une hémorragie cérébrale. Elle est enterrée à Saint-Louis et est inscrite au St. Louis Walk of Fame.


Carrière d'écrivain=Career of writer

nombreuses=many

investissements=investments